#TimetoMoveOn #แข็งแกร่งก้าวไปต่อ

สรุปยอดครึ่งปีแรกเอพีมีนิวไฮ ทั้งขายและโอน! เฉพาะยอดโอนกวาดไป 20,000 ลบ.ในขณะที่ยอดขายรวมกว่า 17,817 ล้านบาท ทั้งๆที่เปิดโครงการใหม่แค่ 5 โครงการ

“จริงๆสถานการณ์ของไทยตอนนี้ก็เหมือนกับอเมริกาเมื่อไตรมาสสามปีที่แล้ว ที่สถานการณ์มันเริ่มเลวร้าย มึนๆงงๆกันไปหมด แต่ถ้าสามารถจัดการบริหารการฉีดวัคซีนได้ตามเป้า เดี๋ยวทุกอย่างก็น่าจะกลับมา มันเป็น Cycle ที่เรามองจากประเทศที่เค้าผ่านมาแล้ว เมื่อมีภูมิคุ้มกันหมู่เกิดขึ้น พอมันกลับมาเมื่อไหร่อาจจะเป็นปีหน้าทุกอย่างก็จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ถึงวันนั้นเศรษฐกิจก็น่าจะกลับมา แต่ทุกคนก็ยังคงต้องอยู่กับโลกแบบนี้ไปสักพัก ต้องปรับตัวที่จะอยู่ให้ได้ สำหรับเอพีเราก็มีการปรับตัวในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจำนวน Supply ของทั้งตลาดทุกหมวดหมู่จะลดลงอย่างต่อเนื่องมาสองปีแล้ว เช่นเดียวกับ Demand ที่ดูจากยอดโอนที่ลดลงแต่ไม่มากเท่ากับ Supply ที่หายไป แต่เราคิดว่าทั้งจำนวน Supply และ Demand มันไม่น่าจะลดลงกว่านี้แล้ว ถ้าผู้ประกอบการรายไหนที่พร้อมก็จะผ่านไปได้ อย่างเอพีมีระบบกระบวนการในการพัฒนาส่งมอบสินค้า ความพร้อมทางด้านการเงิน แบรนด์ดิ้ง และการพัฒนาบุคคลากร ที่ล้วนส่งผลให้เรามียอดผู้เยี่ยมชมโครงการที่เยอะมากๆ ที่สำคัญคือความแตกต่างของปีนี้กับปีที่แล้วก็คือปีที่แล้วทุกคนออกอาการ Panic ลดแหลกเพื่อให้ขายได้โอนได้ แต่พอมาถึงระลอกนี้ส่วนใหญ่เลือกที่จะทำแบรนด์ดิ้ง เช่นเดียวกับเอพีที่เราให้แนวราบเป็นพระเอก ผลลัพธ์ก็คือยอดโอนสี่เดือนแรกของเอพีส่วนใหญ่มาจากแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ภาพรวมสินค้าแนวราบในครึ่งปีแรกเติบโตขึ้นกว่า 28% โดยเฉพาะไตรมาส 2 เพียงไตรมาสเดียวสินค้าแนวราบมียอดขายสูงกว่า 9,100 ล้านบาท…” นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์

สำหรับในด้านด้านยอดโอนครึ่งปีแรกคาดว่าจะสูงกว่า 20,000 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วที่ทำได้ในช่วงครึ่งปีแรกในยอด 19,959 ลบ. ซึ่งในครึ่งปีหลังจะไม่ได้โตแค่แนวราบเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยความพร้อมต่างๆที่มีทำให้เอพีเดินหน้าโครงการต่างๆที่เอพีถนัด ตั้งแต่โครงการราคา 2 ล้านไปจนถึงมากกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งไฮไลท์โปรดักส์คือ แบรนด์บ้านเดี่ยวกลางกรุงอย่าง “บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์ – พระรามสาม” และ Aspire อีก 2 โครงการที่จะเอามาปรับโฉมใหม่ ทั้งในส่วนของ Target และ รูปแบบโครงการ

สำหรับ บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์ – พระรามสาม จะเป็นโครงการแนวราบที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯจริงๆ ซึ่งเอพีห่างหายไปจากแบรนด์นี้มานานแล้ว หลังจากที่ไปทุ่มเททำตลาดเพื่อปั้นโครงการบ้านกลางเมืองมาหลายปี โดยการกลับมาในครั้งนี้จะเป็นการนำเอาแบรนด์บ้านกลางกรุงไปขยับเล่นในตลาดบนระดับ Super Luxury เน้นจุดเด่นในเรื่องของทำเลที่ตั้งในการพัฒนาโครงการที่จะอยู่ใจกลางกรุง โดยมีบ้านกลางกรุง ทองหล่อเป็นต้นแบบความสำเร็จกับจุดเริ่มต้นของแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยกลางกรุง โดยนำร่องโครงการแรกกับ บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 บ้านเดี่ยวหรู หนึ่งเดียวบนทำเลใจกลางเมือง เอกสิทธิ์เพียง 13 ครอบครัว เริ่ม 35-60 ล้านบาท มีพื้นที่โครงการแค่ 2-1-46.5 ไร่ มีบ้าน 13 หลัง แต่ทำออกมาถึง 3 แบบ ทั้งบ้านแฝด 3 ชั้น บ้านเดี่ยว 2-3 ชั้นเลย บนพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 217 – 310 ตรม. ซึ่งพร้อมจัดงาน Pre-Sale ในเดือนกันยายนนี้

นอกจากนั้นแล้ว ในสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม บริษัทฯ เตรียมขยายโปรดักส์ไปยังตลาดแมสมากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับโฉมแบรนด์ ASPIRE (แอสปาย) ภายใต้คอนเซ็ปต์ LIVE AS ‘YOU’ ASPIRE : Living at  Aspire , Create YOUR Aspiring Life เลือกใช้ชีวิตในแบบที่อยากจะเป็น โดยมุ่งพัฒนารูปแบบโครงการกับ 4 จุดขายใหม่ ได้แก่    CITY-ZONE LOCATION เจาะทำเลในเมือง จำนวนยูนิตน้อย เดินทางสะดวกด้วยระบบคมนาคมวันนี้และอนาคต MODULAR LAYOUT DESIGN สเปซดีไซน์ที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้งานได้ตามใจ UNCOMPROMISED FACILITIES พื้นที่ส่วนกลางแบบจัดเต็ม ตอบโจทย์พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ และ UNEXPECTED PRICE PACKAGE แพคเกจราคาขายที่สอดรับกับกลุ่มเป้าหมาย เริ่มต้นประมาณ 55,000-65,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งพร้อมเปิดตัวใน 2 ทำเลได้แก่ ASPIRE รัตนาธิเบศร์-เวสต์ตัน ซึ่งจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท และ ASPIRE ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 4 ต่อไป

สำหรับแบรนด์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วอย่าง Life จะบุกต่ออีก 2 โครงการบนทำเลสุด Prime อย่าง Life Rama 4 – Asoke และ Life Ladprao Station ซึ่งเอพีมองว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเอพียังคงเป็นกลุ่มดีมานท์ที่ยังคงถูกจ้างงานอยู่ และก็ยังคงมีความเชื่อมั่นในการจับจ่าย โดยในส่วนของโครงการแนวราบเอพียังคงกุมความได้เปรียบในเรื่องของ Nature ของการขายสินค้าในแบบสร้างไปขายไป ซึ่งมีเพียงแค่ไม่กี่บริษัทที่สามารถบริหารจัดการได้ดี สร้างสมดุลระหว่าง Stock และการขายได้ดี รู้จังหวะในการเคลียร์หรือดึง Inventory รู้จังหวะในการ Rotate ทีมงานจึงเชื่อว่าถ้าเป็นแนวราบของเอพี ไม่มีโอกาสที่จะเกิดโอเวอร์ซัพพลายแน่นอน

ทั้งนี้เอพีมั่นใจว่าการปิดไซต์ก่อสร้างไม่มีผลกระทบต่อเป้ารายได้ทั้งปี แต่มีผลกระทบการแผนการก่อสร้าง ที่สามารถปรับแผนคุมอยู่เพื่อรองรับแผนการขายได้ เนื่องจากสต๊อคแนวราบของเอพีจะมีสต๊อดพร้อมขายอยู่แล้ว 3 เดือนในแต่ละโครงการ สำหรับคอนโดก็ยังอยู่ในช่วงที่สามารถกลับมาเร่งทำงานได้ทัน สำหรับแผนครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมรุกเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 33,440 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบจำนวน 22 โครงการ มูลค่าประมาณ 20,440 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ และ LIFE อโศก ไฮป์ มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 64 บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) เพื่อรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี มากถึง 40,552 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ก็ยอมรับว่ามีลูกค้าบางส่วนที่ยังขอยืดระยะเวลาในการโอนบ้าง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทางเอพีเตรียมแผนรับมือเอาไว้แล้ว

ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth ที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ที่ผ่านมาบริษัทฯ จะเปิดตัวโครงการใหม่เพียง  5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,060 ล้านบาทเท่านั้น  ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงดำเนินแผนธุรกิจด้วยความรัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการบริหารจัดการกระแสเงินสด ภายใต้พันธกิจใหญ่ขององค์กร “EMPOWER LIVING” ที่พร้อมส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและมีความหมาย เช่นเดียวกับการส่งต่อความช่วยเหลือไปยังกลุ่มพันธมิตรคู่ค้า และสังคมรอบข้าง ผ่านแคมเปญ AP Save Lives และอื่นๆต่อไปในอนาคต