จำกัดเน็ต 100GB “Fair Usage Policy (FUP)” นโยบายร้ายเงียบที่ขืนใจผู้คนให้มาแออัดอยู่ใจกลางเมือง
ในวันที่อสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถแยกออกจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลได้อีกต่อไป นโยบาย Fair Use Policy ไปนโยบายที่มีเจตนารมณ์ที่ดีเพื่อรักษาเสถียรภาพของโครงสร้างพื้นฐานอินเตอร์เน็ตให้ทุกคนใช้งานได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นในทางทฤษฎี แต่ทว่าในทางปฏิบัติจริง มันเป็นนโยบายจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตมือถือที่ความเร็วสูงไว้ราว 100GB ต่อเดือน จุดนี้เองกำลังกลายเป็นแรงกำหนดรูปแบบเมืองอย่างเงียบๆ โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวเหมือนกบที่กำลังถูกต้มในหม้ออุ่นๆ กว่าจะรู้ว่าร้อนก็ตายไปก่อนแล้ว นี่มันไม่ใช่แค่เพียงเรื่องแพ็กเกจโทรศัพท์ แต่เป็นกลไกที่บีบให้ผู้คนต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตบ้าน บีบให้การใช้ชีวิตต้องผูกติดกับพื้นที่ที่โครงสร้างพื้นฐาน และท้ายที่สุดก็ดึงคนกลับเข้าสู่ตัวเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
https://unsplash.com/photos/person-using-macbook-pro-npxXWgQ33ZQ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Real Estate Centralization การรวมศูนย์ของการอยู่อาศัยและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตเมือง ทั้งที่ในช่วงหนึ่ง เทคโนโลยีเคยเปิดโอกาสให้ผู้คนกระจายตัวออกไปใช้ชีวิตนอกศูนย์กลางได้อย่างอิสระ แต่เมื่ออินเทอร์เน็ตมือถือซึ่งควรเป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบพกพา เป็นอิสระที่อยู่ที่ใดก็ได้ กลับถูกจำกัดการใช้งานจริง ใจกลางเมืองจึงกลับมาเป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น ผู้ที่ได้เปรียบในเกมนี้คือกลุ่มทุนหรือประชาชนที่มีอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงอย่างทำเลใจกลางเมือง
ผู้ที่เสียเปรียบคือพื้นที่ที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง นั่นหมายความว่าผู้ที่ได้รับความเสียหายจากนโยบายจำกัดอินเตอร์เน็ตคือกลุ่มทุนท้องถิ่นและประชาชนที่มีที่ดินทำเลที่อยู่นอกตัวเมืองทั้งหมด
ผลกระทบนี้ลุกลามไปถึงวงการธุรกิจครีเอเตอร์และแรงงานดิจิทัลทุกคน รวมถึงพฤติกรรมชาวเน็ตทุกคนที่แต่ก่อนสามารถดู YouTube หรือแอป streaming ต่างๆ ดูหนังฟังเพลงได้อย่างเพลิดเพลินสบายใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ต เปลี่ยนมาเป็นดูไปกังวลไป เน็ตจะหมดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะซื้อเน็ตเพิ่มก็กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย อยากจะสมัครดู app streaming เพิ่มก็งบไม่ถึงแล้ว กลายเป็นต้องตัดค่าใช้จ่ายความบันเทิงออกไป ตอนนี้ยังไม่รวมถึงโอกาสการเข้าถึงงานและแหล่งรายได้บนโลกออนไลน์อื่น ๆ อีกมากมาย และแน่นอนว่าความกังวลด้านค่าใช้จ่ายเหล่านั้นก็สะท้อนกลับมาที่ตลาดที่อยู่อาศัย ใจกลางเมืองจะหนาแน่นขึ้น ราคาสูงขึ้น และคุณภาพชีวิตถูกกดทับโดยข้อจำกัดที่ผู้คนไม่ได้เลือกเอง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้กรอบคำว่า Fair Usage Policy (FUP) ซึ่งยิ่งพิจารณาในเชิงนโยบาย ยิ่งต้องตั้งคำถามว่า “Fair” ความยุติธรรมนี้กำลังรับใช้ใครกันแน่





