กฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ๆ จะมีผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมและอสังหายังไงบ้าง
ช่วงนี้ใครทำธุรกิจอสังหา หรือโรงแรม คงเริ่มได้ยินข่าวเรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติม “ร่าง พ.ร.บ. การพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน” กันบ้างแล้วใช่ไหมครับ? กฎหมายฉบับนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องของพลังงาน แต่จริง ๆ แล้วมันอาจเปลี่ยนเกมทั้งวงการอสังหาริมทรัพย์เลยก็ว่าได้
เพราะนี่คือการอัปเดตกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ให้ทันโลกยุคใหม่ที่ทุกอย่างพูดถึงคำว่า “ยั่งยืน (Sustainability)” และ “พลังงานสะอาด” พูดง่าย ๆ คือ ประเทศไทยกำลังยกเครื่องระบบพลังงานทั้งระบบ เพื่อเปิดทางให้เอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์รูฟท็อป หรือระบบพลังงานสะอาดต่าง ๆ
https://unsplash.com/photos/time-lapse-photography-of-square-containers-at-night-ahi73ZN5P0Y
ร่าง พ.ร.บ. การพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน นี้มีอะไรใหม่?
หัวใจสำคัญคือ “รัฐจะไม่ทำคนเดียวอีกต่อไป” ตอนนี้เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาตรวจสอบ รับรอง หรือแม้แต่ผลิตพลังงานสะอาดได้มากขึ้น และมีการปรับบทบาทหน่วยงานรัฐให้ยืดหยุ่น ทันเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้านพลังงานไม่ได้มีเพียงร่าง พ.ร.บ. การพัฒนาและส่งเสริมพลังงานฉบับใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกฎหมายและกฎกระทรวงอื่น ๆ ที่ออกมาเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งมีสาระสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมเช่นกัน
ทาง Propholic.com ขอสรุปกฎหมายที่เกี่ยวข้องแบบสั้นๆ มาให้ดูศึกษาเพิ่มเติมกันต่อเอง เพราะออกตัวก่อนว่าไม่ได้ถนัดเรื่องกฎหมายมากนัก หากผิดพลาดประการใดรบกวนผู้รู้ชี้แนะโดยการพิมพ์ความคิดเห็นที่ด้านล่างได้เลย
กฎกระทรวง BEC (Building Energy Code) ปี 2563
กฎหมายฉบับนี้เป็นการบังคับให้อาคารใหม่และอาคารดัดแปลงขนาด 2,000 ตร.ม. ขึ้นไป ต้องออกแบบให้ “อนุรักษ์พลังงาน” ตั้งแต่โครงสร้าง ผนัง หลังคา ไปจนถึงระบบไฟและแอร์
กฎกระทรวง พ.ร.บ. โรงงาน ปี 2567
ฉบับนี้ถือว่า ปลดล็อกครั้งใหญ่ สำหรับโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) เพราะต่อไปนี้จะไม่ถูกนับเป็น “โรงงาน” แล้ว นั่นหมายความว่า ใครอยากติดตั้งโซลาร์บนหลังคาอาคาร ไม่ต้องขอใบอนุญาตโรงงาน (รง.4) อีกต่อไป!
แล้วกฎหมายพลังงานมันกระทบกับธุรกิจอสังหาอย่างไร?
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ นี่คือทั้งโอกาส และความท้าทายในเวลาเดียวกัน
โอกาสทองจากโซลาร์รูฟท็อป เรื่องนี้พูดได้เต็มปากเลยว่า “ใครทำก่อน ได้เปรียบก่อน” เมื่อกฎหมายผ่อนคลายแบบนี้ ต้นทุนในการติดตั้งโซลาร์ลดลงทันที เหล่าบรรดาโรงแรม อาคารสำนักงาน หรือคอนโดที่ใช้ไฟหนัก ๆ ตอนกลางวัน จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ เพราะเป็นช่วงที่แสงแดดแรงที่สุด
ผลลัพธ์คือ…ค่าไฟลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ต้นทุนคงที่มากขึ้น ไม่ต้องกลัวค่าไฟขึ้นอีก และยังได้ภาพลักษณ์ของโครงการดู “เขียว” และ “ทันสมัย” อีกด้วยและถ้าอาคารได้รับการรับรอง Green Building มูลค่าทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้นได้
อีกอย่างหนึ่งที่คนมักมองข้ามคือ “ความมั่นคงทางพลังงาน” เราจะมีไฟใช้แน่ ๆ แม้ไฟดับจากระบบใหญ่ เพราะผลิตไฟฟ้าเองได้ แถมพื้นที่หลังคาที่เคยว่างเปล่า ก็กลายเป็นสินทรัพย์สร้างรายได้ทางอ้อมทันที




