“ม่านตาก็มีค่าเหมือนที่ดิน” ยอมสแกนม่านตาแลกเงินน้อยไปทำไม ถ้ารู้ว่าอนาคตจะได้เงินเยอะกว่านี้อีก

ต่อทอง ทองหล่อ 29 September, 2025 at 11.49 am

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


https://pixabay.com/th/photos/eye-cataract-technology-modern-5261179/

 

เพราะอะไรการสแกนม่านตาแลกเงินฟรีควรเป็นเรื่องที่เราหยุดคิดก่อนตัดสินใจไปทำ

ในช่วงกลางปี 2025 ที่ผ่านมา หลายจังหวัดในประเทศไทยรวมถึงกรุงเทพฯ เริ่มมีปรากฏการณ์แปลกตา เมื่อมีผู้คนมากมายไปต่อคิวรอทีมงานในร้านขายคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งกำลังสอนวิธียืนยันตัวตนกับเครื่องทรงกลมเงาวาวๆ ซึ่งมาตั้งตามห้างสรรพสินค้า พนักงานจะชักชวนผู้คนให้เข้าคิวสแกนม่านตา แลกกับเงินเหรียญคริปโตเคอเรนซีสกุลหนึ่งที่ตีมูลค่าออกมาได้ประมาณ 500–1,000 บาท

สำหรับหลายคน เงินจำนวนนี้อาจมากหรือไม่มากสำหรับแต่ละคน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกอยากลอง เพราะมันคือ “เงินฟรี” ที่ได้มาทันทีโดยไม่ต้องลงทุนอะไรนอกจากการสแกนดวงตาเพียงครั้งเดียว กิจกรรมนี้ดำเนินการโดยทุนต่างชาติบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ชื่อดัง สำหรับในประเทศไทยมีบริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อเดือน ก.ค. 2025 ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลข้อมูลส่วนบุคคล

เมื่อภาพเหล่านี้แพร่กระจายบนสื่อสังคมออนไลน์ หน่วยงานรัฐในไทยบางแห่ง เช่น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รีบออกมาประกาศเตือนประชาชน โดยย้ำว่าขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยสอดส่องและประชาสัมพันธ์เพื่อไม่ให้เกิดการหลอกลวงประชาชน ขณะเดียวกัน รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ออกมายืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย คำเตือนและคำยืนยันที่ดูขัดแย้งกันเช่นนี้ยิ่งทำให้ประชาชนสับสนว่า ตกลงแล้วมันปลอดภัยจริงหรือไม่ หรือมันมีความเสี่ยงอะไรกันแน่

https://pixabay.com/th/photos/ชาย-ใบหนา-ใบหนาชดขน-5946820/

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ การสแกนม่านตาในโครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายรูปดวงตา แต่คือการนำ Biometric Data ข้อมูลชีวมิติที่มีความเฉพาะตัวสูงที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ไปแปลงเป็นรหัสที่ใช้ยืนยันตัวตนในระบบดิจิทัล บริษัทผู้ดำเนินการอ้างว่า ภาพม่านตาจะถูกลบทันทีหลังแปลงเป็นข้อมูล Iris Code และเก็บไว้เพียงรหัสที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นภาพตาได้ แต่ปัญหาคือ ไม่ว่ากระบวนการจะซับซ้อนแค่ไหน สุดท้ายผู้ใช้งานก็ทำได้แค่ “เชื่อใจ” ในบริษัทเอกชนที่ถือข้อมูลเหล่านี้อยู่ดี และนั่นคือจุดที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มกังวลและเริ่มตั้งกำแพงขวางกั้น

ตัวอย่างในสหภาพยุโรปภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR) จัดให้ข้อมูลม่านตาอยู่ในหมวด “ข้อมูลอ่อนไหวพิเศษ” การเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลเช่นนี้ต้องมีมาตรการคุ้มครองเข้มงวด จึงไม่น่าแปลกที่หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของสเปนและโปรตุเกสสั่งให้ผู้ดำเนินการกิจกรรมหยุดกิจกรรมชั่วคราว ขณะที่ประเทศอย่างฮ่องกง บราซิล และอินโดนีเซียก็มีท่าทีระงับหรือสั่งชะลอด้วยเหตุผลด้านความโปร่งใสและความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า แม้เทคโนโลยีจะทันสมัยและโครงการจะถูกอธิบายว่าน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้หน่วยงานรัฐในหลายประเทศได้

หากมองจากมุมของประชาชน การยอมสแกนม่านตาแลกเงินฟรีไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดพลาด ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ไม่ว่าจะเพราะอยากลอง อยากได้ผลตอบแทนทันที หรือรู้สึกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่คงปลอดภัยพอ แต่คำถามคือ การแลกระหว่างเงินกับข้อมูลส่วนตัวครั้งนี้คุ้มค่าจริงหรือไม่ เพราะเงินไม่กี่พันกี่ร้อยบาทที่ได้มาทันทีอาจเทียบไม่ได้กับความเสี่ยงในอนาคตที่ยังไม่มีใครรู้คำตอบ ข้อมูลม่านตาไม่เหมือนกับรหัสผ่านที่เปลี่ยนใหม่ได้เมื่อรั่วไหล และไม่เหมือนกับเบอร์โทรศัพท์ที่เปลี่ยนซิมการ์ดแล้วเรื่องก็จบ ข้อมูลม่านตาเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวเราตลอดชีวิต หากวันหนึ่งมันถูกนำไปใช้ในทางที่เราไม่ได้ยินยอม ผลกระทบอาจย้อนกลับมาหาเราโดยไม่ทันตั้งตัว

นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และการเงินเริ่มตั้งคำถามว่า ข้อมูลม่านตามีศักยภาพมากกว่าที่เราคิด งานวิจัยด้านชีวมิติระบุว่า ม่านตาสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดสุขภาพ ตรวจจับโรคบางชนิด หรือแม้แต่บ่งบอกพฤติกรรมการใช้สายตาในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในแง่การเงิน ข้อมูลชีวมิติที่แนบแน่นกับตัวบุคคลย่อมสามารถถูกนำไปเชื่อมโยงกับระบบยืนยันตัวตนทางการเงินและธุรกรรมข้ามประเทศได้อย่างมหาศาล หากข้อมูลนี้อยู่ในมือของผู้ที่เราควบคุมไม่ได้ ก็อาจหมายถึงการเสียอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจในอนาคตโดยไม่รู้ตัว

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่เคยสแกนม่านตาไปแล้วทำผิดพลาด ตรงกันข้าม มันสะท้อนถึงสภาพสังคมที่ประชาชนต้องตัดสินใจเองภายใต้ข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วน และนี่คือเหตุผลที่หน่วยงานรัฐของประเทศไทยไม่ควรปล่อยให้เป็นเพียงการเตือนกันเองในสังคมออนไลน์ หน่วยงานอย่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) https://www.pdpc.or.th/  ควรเข้ามากำกับตรวจสอบอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย https://www.bot.or.th ในฐานะผู้กำกับดูแลระบบการเงินก็ควรตรวจสอบด้วย เพราะข้อมูลชีวมิติที่เชื่อมโยงกับธุรกรรมทางการเงินไม่ใช่เรื่องเล็ก การนิ่งเฉยอาจตีความได้ว่าเป็นการละเลยหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน

ภาพเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) https://www.pdpc.or.th/

ภาพเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย https://www.bot.or.th

เพื่อการลดความเสี่ยงที่ยังไม่รู้ในอนาคต เราควรชะลอการตัดสินใจที่จะไปสแกนม่านตาไปก่อน และรอจนกว่าจะมีความชัดเจนจากการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐและแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ การชะลอสแกนม่านตาคือการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของตัวเอง เงินค่าตอบแทนหลักพันที่ได้ในวันนี้ไม่สามารถเทียบกับสิทธิที่จะกำหนดชะตาข้อมูลของเราในอนาคตได้ ความรอบคอบจึงไม่ใช่การพลาดโอกาส แต่คือการรักษาเสรีภาพของตัวเองในระยะยาว

คุ้มค่าไหมที่จะสแกนแล้วได้เงินวันนี้แค่หลักร้อยหลักพัน ในเมื่ออนาคตค่าสแกนอาจได้สูงกว่านี้อีกมาก

เงิน 1,000 บาทที่ได้รับฟรีจากการสแกนม่านตาอาจดูเหมือนน่าดึงดูด เพราะมันสามารถซื้อข้าวกินได้ประมาณ 5 วัน แต่ลองเทียบกับมูลค่าของข้อมูลส่วนตัวที่คุณมอบให้แล้ว จะเห็นว่ามันแทบไม่สอดคล้องกันเลย ข้อมูลม่านตาของเราไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนหรือทดแทนได้ง่าย ๆ หากรั่วไหลหรือถูกใช้ในทางมิชอบ มันถือเป็น “รหัสประจำตัวตลอดชีวิต” งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า ม่านตาเป็นไบโอเมตริกซ์ที่มีความเฉพาะตัวสูง มีศักยภาพในการระบุตัวตนและยืนยันตัวบุคคลได้อย่างแม่นยำ จึงไม่ควรแลกกับผลประโยชน์เพียงหลักร้อยหรือหลักพัน

จากข้อมูลนักเขียนชาวต่างประเทศ เมืองโปร์ตู ประเทศโปรตุเกสเมื่อปี 2024 รายงานว่า บริษัทที่จัดกิจกรรมเคยเสนอเงินเพื่อชวนให้คนมาสแกนม่านตาจำนวน 73 ดอลล่าร์สหรัฐหรือตีเป็นเงินไทย 2500 บาทในขณะนั้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าค่าตอบแทนสแกนม่านตาแต่ละประเทศแต่ละช่วงเวลาก็แตกต่างกัน แล้วทำไมประเทศอื่นได้เงินมากกว่าประเทศไทย ค่าม่านตาของคนมีค่าไม่เท่ากันเหรอ แล้วทำไมคนไทยต้องยอมรับเงินค่าตอบแทนที่น้อยกว่าประเทศอื่น เป็นคำถามที่เจ้าของม่านตาอย่างเราควรจะหยุดพิจารณาและประเมินค่าม่านตาของตัวเองกันใหม่ก่อนยกมอบให้คนอื่นไปง่าย ๆ

จากข้อมูลในรายงาน Iris Recognition Biometrics Market บอกว่าตลาดไบโอเมตริกส์สแกนม่านตากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 หรือประมาณ 158,800 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 18.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือหกแสนล้านบาทภายในปี 2030 เทคโนโลยีนี้ใช้การวิเคราะห์ลวดลายเฉพาะของม่านตาเพื่อตรวจสอบและยืนยันตัวตนอย่างแม่นยำ มีการใช้งานอย่างกว้างขวางในภาครัฐ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย การดูแลสุขภาพ ธนาคาร และการควบคุมชายแดน เนื่องจากความปลอดภัยสูงและต้านการปลอมแปลงได้ดี ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดสำคัญ ได้แก่ โครงการบัตรประชาชนแบบไบโอเมตริกส์ การท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและภัยคุกคามด้านความมั่นคง รวมถึงการใช้งานในระบบสุขภาพเพื่อยืนยันตัวตนอย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงด้านสุขอนามัย

เมื่อดูข้อมูลคาดการณ์การเติบโตของมูลค่าอุตสาหกรรมนี้ที่สูงมากอนาคต หากจะประเมินราคาที่เหมาะสมจริง ๆ ข้อมูลม่านตาของเราน่าจะมีมูลค่ามากกว่าแค่ 1000 บาทถึงจะสอดคล้องกับความเสี่ยงและความสำคัญของข้อมูลนั้น หากบริษัทใดอยากได้ข้อมูลนี้เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนหรือพัฒนาระบบใด ๆ จริง ๆ พวกเขาควรจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกับมูลค่าที่แท้จริงของข้อมูล ไม่ใช่เพียงเงินหลักร้อยหรือพันเดียว การแลกข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญเพียงเพื่อเงินน้อยนิดนั้นถือว่าไม่คุ้มค่า เพราะคุณกำลังเสี่ยงมอบ “กุญแจชีวิตดิจิทัล” ให้กับผู้อื่นโดยไม่จำเป็น การตัดสินใจที่จะให้หรือไม่ควรเกิดจากการประเมินมูลค่าและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เมื่อค่าตอบแทนสูงพอและชัดเจนเท่านั้น ถึงจะพิจารณาได้อย่างมีเหตุผล

ท้ายที่สุด แม้ในอนาคตเมื่อโลกดิจิทัลกำลังเคลื่อนไปสู่การใช้ข้อมูลเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์จริง ๆ ในวันที่ปัญญาประดิษฐ์และบอทสามารถเลียนแบบพฤติกรรมเราได้แทบทุกอย่าง การมีระบบยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คำถามคือ เราจะยอมฝากข้อมูลที่เปลี่ยนไม่ได้ให้กับใคร และเมื่อไหร่ที่เรามั่นใจว่าระบบนั้นปลอดภัยจริง การรีบสแกนม่านตาในวันนี้ไม่ใช่คำตอบที่จำเป็น เพราะหากอนาคตพิสูจน์แล้วว่าเทคโนโลยีนี้มีประโยชน์จริง เรายังไม่สายเกินไปที่จะเข้าร่วม แต่หากรีบตัดสินใจโดยไม่ทันคิด ผลลัพธ์อาจเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ตลอดชีวิตและเราอาจกำลังอาจโดนเอาเปรียบจากผู้อื่นอย่างแนบเนียนอยู่ก็เป็นไปได้

ถ้าจะให้เทียบกับแนวคิดอสังหาริมทรัพย์

ม่านตา…ก็เหมือนที่ดินแปลงเดียวในโลก แต่ละแปลงมีเอกลักษณ์และคุณประโยชน์ไม่เหมือนกัน แต่ละดวงมีค่าในตัวเอง ไม่ใช่ของธรรมดา ดังนั้นราคาสแกนม่านตาไม่ควรถูกตีค่าต่ำ มันคือทรัพย์สินเฉพาะตัวของคุณที่อาจมีมูลค่ามากกว่าที่คิด ถ้ารีบตัดสินใจสแกนเร็วเกินไป คุณอาจเสียโอกาสทองไปโดยไม่รู้ตัว.

 

แหล่งข้อมูล https://medium.com/the-generator/an-ai-company-offered-73-to-scan-my-eyes-130d9c0473d4

https://www.bbc.com/thai/articles/ce83x2zgz4eo

https://www.nextmsc.com/report/iris-recognition-biometrics-market

ต่อทอง ทองหล่อ

ต่อทอง ทองหล่อ

บรรณาธิการสื่อเกี่ยวกับการศึกษา และ Blogger ผู้มีผลงานการวิเคราะห์ด้านอสังหาฯ มามากกว่าร้อยบทความ ยังเป็นผู้สนใจลงทุนคอนโดมิเนียม ชอบใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad รักการเดินเท้าและเลือกใช้ขนส่งมวลชนสำรวจความเปลี่ยนแปลงของทำเลสถานที่ผ่านมุมมองการเข้าใจมนุษย์ นอกจากนี้ยังเป็น Active Citizen ช่วยขับเคลื่อนพัฒนาเมืองผ่านงานเขียนและเครื่องมือสื่อสารที่เชื่อมรัฐกับประชาชน เป้าหมายระยะยาวต้องการเห็นคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นของทุกคนในสังคม ติดตามผลงานได้ที่ https://matttortong.weebly.com

เว็บไซต์

นิว เรน แจ้งวัฒนะ

ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน - วงเวี...

โค้บบ์ ลาดพร้าว-สุทธิสาร

เอสซี แอสเสท ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงและนวั...

22 September, 2025

ศุภาลัย เอลีท สุขุมวิท 39

"คอนโด High Rise ใหม่แบบ 2 ห้องนอนในย่านพร้อมพงษ์ ยั...

7 August, 2025

แอสปาย สุขุมวิท – พระราม 4

ASPIRE สุขุมวิท-พระราม 4 คือ คอนโดไฮบริดพร้อมอยู่ที่...

21 July, 2025

บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์

มาพร้อมงานดีไซน์แบบใหม่ “Modern Simplicity ความเรียบ...

11 July, 2025

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง