“ม่านตาก็มีค่าเหมือนที่ดิน” ยอมสแกนม่านตาแลกเงินน้อยไปทำไม ถ้ารู้ว่าอนาคตจะได้เงินเยอะกว่านี้อีก
https://pixabay.com/th/photos/eye-cataract-technology-modern-5261179/
เพราะอะไรการสแกนม่านตาแลกเงินฟรีควรเป็นเรื่องที่เราหยุดคิดก่อนตัดสินใจไปทำ
ในช่วงกลางปี 2025 ที่ผ่านมา หลายจังหวัดในประเทศไทยรวมถึงกรุงเทพฯ เริ่มมีปรากฏการณ์แปลกตา เมื่อมีผู้คนมากมายไปต่อคิวรอทีมงานในร้านขายคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่งกำลังสอนวิธียืนยันตัวตนกับเครื่องทรงกลมเงาวาวๆ ซึ่งมาตั้งตามห้างสรรพสินค้า พนักงานจะชักชวนผู้คนให้เข้าคิวสแกนม่านตา แลกกับเงินเหรียญคริปโตเคอเรนซีสกุลหนึ่งที่ตีมูลค่าออกมาได้ประมาณ 500–1,000 บาท
สำหรับหลายคน เงินจำนวนนี้อาจมากหรือไม่มากสำหรับแต่ละคน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกอยากลอง เพราะมันคือ “เงินฟรี” ที่ได้มาทันทีโดยไม่ต้องลงทุนอะไรนอกจากการสแกนดวงตาเพียงครั้งเดียว กิจกรรมนี้ดำเนินการโดยทุนต่างชาติบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ชื่อดัง สำหรับในประเทศไทยมีบริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อเดือน ก.ค. 2025 ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลข้อมูลส่วนบุคคล
เมื่อภาพเหล่านี้แพร่กระจายบนสื่อสังคมออนไลน์ หน่วยงานรัฐในไทยบางแห่ง เช่น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รีบออกมาประกาศเตือนประชาชน โดยย้ำว่าขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยสอดส่องและประชาสัมพันธ์เพื่อไม่ให้เกิดการหลอกลวงประชาชน ขณะเดียวกัน รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ออกมายืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย คำเตือนและคำยืนยันที่ดูขัดแย้งกันเช่นนี้ยิ่งทำให้ประชาชนสับสนว่า ตกลงแล้วมันปลอดภัยจริงหรือไม่ หรือมันมีความเสี่ยงอะไรกันแน่
https://pixabay.com/th/photos/ชาย-ใบหนา-ใบหนาชดขน-5946820/
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ การสแกนม่านตาในโครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายรูปดวงตา แต่คือการนำ Biometric Data ข้อมูลชีวมิติที่มีความเฉพาะตัวสูงที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ไปแปลงเป็นรหัสที่ใช้ยืนยันตัวตนในระบบดิจิทัล บริษัทผู้ดำเนินการอ้างว่า ภาพม่านตาจะถูกลบทันทีหลังแปลงเป็นข้อมูล Iris Code และเก็บไว้เพียงรหัสที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นภาพตาได้ แต่ปัญหาคือ ไม่ว่ากระบวนการจะซับซ้อนแค่ไหน สุดท้ายผู้ใช้งานก็ทำได้แค่ “เชื่อใจ” ในบริษัทเอกชนที่ถือข้อมูลเหล่านี้อยู่ดี และนั่นคือจุดที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มกังวลและเริ่มตั้งกำแพงขวางกั้น
ตัวอย่างในสหภาพยุโรปภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR) จัดให้ข้อมูลม่านตาอยู่ในหมวด “ข้อมูลอ่อนไหวพิเศษ” การเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลเช่นนี้ต้องมีมาตรการคุ้มครองเข้มงวด จึงไม่น่าแปลกที่หน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของสเปนและโปรตุเกสสั่งให้ผู้ดำเนินการกิจกรรมหยุดกิจกรรมชั่วคราว ขณะที่ประเทศอย่างฮ่องกง บราซิล และอินโดนีเซียก็มีท่าทีระงับหรือสั่งชะลอด้วยเหตุผลด้านความโปร่งใสและความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า แม้เทคโนโลยีจะทันสมัยและโครงการจะถูกอธิบายว่าน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้หน่วยงานรัฐในหลายประเทศได้
หากมองจากมุมของประชาชน การยอมสแกนม่านตาแลกเงินฟรีไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดพลาด ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ไม่ว่าจะเพราะอยากลอง อยากได้ผลตอบแทนทันที หรือรู้สึกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่คงปลอดภัยพอ แต่คำถามคือ การแลกระหว่างเงินกับข้อมูลส่วนตัวครั้งนี้คุ้มค่าจริงหรือไม่ เพราะเงินไม่กี่พันกี่ร้อยบาทที่ได้มาทันทีอาจเทียบไม่ได้กับความเสี่ยงในอนาคตที่ยังไม่มีใครรู้คำตอบ ข้อมูลม่านตาไม่เหมือนกับรหัสผ่านที่เปลี่ยนใหม่ได้เมื่อรั่วไหล และไม่เหมือนกับเบอร์โทรศัพท์ที่เปลี่ยนซิมการ์ดแล้วเรื่องก็จบ ข้อมูลม่านตาเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวเราตลอดชีวิต หากวันหนึ่งมันถูกนำไปใช้ในทางที่เราไม่ได้ยินยอม ผลกระทบอาจย้อนกลับมาหาเราโดยไม่ทันตั้งตัว
นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และการเงินเริ่มตั้งคำถามว่า ข้อมูลม่านตามีศักยภาพมากกว่าที่เราคิด งานวิจัยด้านชีวมิติระบุว่า ม่านตาสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดสุขภาพ ตรวจจับโรคบางชนิด หรือแม้แต่บ่งบอกพฤติกรรมการใช้สายตาในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในแง่การเงิน ข้อมูลชีวมิติที่แนบแน่นกับตัวบุคคลย่อมสามารถถูกนำไปเชื่อมโยงกับระบบยืนยันตัวตนทางการเงินและธุรกรรมข้ามประเทศได้อย่างมหาศาล หากข้อมูลนี้อยู่ในมือของผู้ที่เราควบคุมไม่ได้ ก็อาจหมายถึงการเสียอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจในอนาคตโดยไม่รู้ตัว
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าคนที่เคยสแกนม่านตาไปแล้วทำผิดพลาด ตรงกันข้าม มันสะท้อนถึงสภาพสังคมที่ประชาชนต้องตัดสินใจเองภายใต้ข้อมูลที่ยังไม่ครบถ้วน และนี่คือเหตุผลที่หน่วยงานรัฐของประเทศไทยไม่ควรปล่อยให้เป็นเพียงการเตือนกันเองในสังคมออนไลน์ หน่วยงานอย่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) https://www.pdpc.or.th/ ควรเข้ามากำกับตรวจสอบอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย https://www.bot.or.th ในฐานะผู้กำกับดูแลระบบการเงินก็ควรตรวจสอบด้วย เพราะข้อมูลชีวมิติที่เชื่อมโยงกับธุรกรรมทางการเงินไม่ใช่เรื่องเล็ก การนิ่งเฉยอาจตีความได้ว่าเป็นการละเลยหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน