“LPN” รุกเปิดตัว 4 โครงการใหม่มูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท เดินหน้าสร้างยอดขายตามแผน 13,000 ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ว่า บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท ตามแผนธุรกิจที่วางไว้ โดยแบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 2 โครงการ มูลค่า 2,400 ล้านบาท ถึงแม้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรืออาจถึงขั้นถดถอย (Recession) ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งจากการแพร่ระบาดที่ยาวนานของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) และสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงต่อเนื่อง ทำให้ระดับราคาพลังงาน ราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม
“ถึงแม้แนวโน้มเศรษฐกิจจะเติบโตต่ำกว่าที่คาดไว้ ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ แต่ยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 LPN ยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายรวมถึง 6,800 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นประมาณ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 โดยแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 4,800 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของยอดขายรวม และโครงการบ้านพักอาศัย 2,000 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดขายรวม ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อในตลาดที่ยังคงเติบโต และความเชื่อมั่นของลูกค้าในศักยภาพการพัฒนาโครงการฯ ของ LPN ทำให้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ได้ตามแผนที่วางไว้” นายโอภาส กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2565 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัย 3 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่า 7,600 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการเพลส 168 ปิ่นเกล้า, โครงการลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น, โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต – คลอง 1 เฟส 3, โครงการลุมพินี วิลล์ จรัญ – ไฟฉาย (เฟสใหม่) และโครงการเวนู 168 ราชพฤกษ์ 1 ทำให้บริษัทฯ มี Backlog (สินค้าที่ขายและรอโอน) มูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท ที่พร้อมจะรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ต่อเนื่องไปถึงปี 2566-2567 แบ่งเป็นส่วนของคอนโดมิเนียม 1,400 ล้านบาท และส่วนของบ้านพักอาศัย 700 ล้านบาท และมีสินค้าพร้อมขายทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัยมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้ต่อเนื่องให้กับบริษัทฯ ในปี 2566-2568