LIV-24 พลิกโฉมการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมด้วย AI – IoT ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ Smart Factory ช่วยลดค่าไฟได้สูงสุดถึง 15% พร้อมยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG
ท่ามกลางต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น “พลังงาน” กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของภาคอุตสาหกรรมไทย ทั้งในมิติของต้นทุนและความยั่งยืนในด้านการผลิต ล่าสุด LIV-24 ผู้นำด้าน Smart Tech Solutions เพื่อความปลอดภัยและเสริมประสิทธิภาพธุรกิจ เปิดตัวระบบ Energy & Environmental Management Platform ระบบบริหารพลังงานและสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะที่ผสานเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligent) และ IoT (Internet of Things) เข้าด้วยกัน เพื่อบริหารการใช้ไฟฟ้าและคุณภาพอากาศในโรงงานแบบเรียลไทม์ ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
LIV-24 ใช้ Smart Meter และระบบ IoT ในการตรวจจับและรายงานการใช้ไฟฟ้าในแต่ละจุดแบบเรียลไทม์ ให้ผู้ประกอบการเห็นภาพรวมการใช้พลังงานอย่างละเอียด ข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้สามารถนำมาประมวลผลด้วยระบบ AI เพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม ค้นหาจุดที่ใช้พลังงานสูงผิดปกติ และคาดการณ์ช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ช่วยให้สามารถวางแผนลดโหลดหรือปรับเวลาการทำงานของเครื่องจักรได้อย่างเหมาะสม ลดการใช้พลังงานเกินจำเป็นโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการผลิต ทำให้สามารถช่วยลดค่าไฟได้สูงสุดถึง 15%
อีกทั้งระบบ IoT ของ LIV-24 ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย TIS 62368-1 และมาตรฐานการจัดการพลังงาน NTC TS 5001-2550 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากล ช่วยให้ผู้ใช้งานระบบของ LIV-24 มั่นใจในความปลอดภัยของระบบ เมื่อใช้ร่วมกับระบบของโรงงาน
นางสาวนิรมล ดิเรกมหามงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟ-24 จำกัด เปิดเผยว่า ค่าไฟฟ้าเป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของโรงงานอุตสาหกรรม การบริหารพลังงานด้วยเทคโนโลยีจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญ ไม่เพียงช่วยควบคุมงบประมาณ แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดความเสี่ยงด้านต้นทุนในระยะยาวเพราะเมื่อสามารถควบคุมต้นทุนพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงงานจะมีต้นทุนการผลิตที่เสถียรกว่าคู่แข่งในตลาด ลดความผันผวนจากค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การมีข้อมูลเชิงลึกด้านพลังงานช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิตล่วงหน้า และลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของเครื่องจักรหรือระบบไฟฟ้า
ระบบของ LIV-24 ยังสามารถเก็บข้อมูลย้อนหลังเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการใช้พลังงาน และพัฒนาโมเดลคาดการณ์ (Predictive Model) เพื่อบริหารโหลดไฟฟ้าเชิงรุก เช่น คาดการณ์ช่วงพีคและปรับการทำงานของเครื่องจักรโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ “โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory)”
นอกจากด้านพลังงานแล้ว อีกหนึ่งฟังก์ชันสำคัญคือ Environmental Monitoring System ที่ตรวจวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5, PM10 รวมถึงอุณหภูมิและความชื้นในพื้นที่ เพื่อช่วยโรงงานที่มีความเสี่ยงต่อฝุ่นหรือความร้อนสูง เช่น โรงงานผลิตยา อิเล็กทรอนิกส์ หรือคลังสินค้า โดยสามารถติดตามและปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรมได้ทันที ลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน และรักษาคุณภาพการผลิตให้สม่ำเสมอ





