แสนสิริ ชวนกรีนพาร์ตเนอร์ร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืน ระดมไอเดีย Rethinking Sustainability ทำอย่างไร? เมื่อผลกำไรไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดเพียงอย่างเดียว
– แสนสิริ จับมือกรีนพาร์ตเนอร์แถวหน้าของประเทศกว่า 30 แห่ง ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างจริงจังเพื่อมุ่งสู่ Net-Zero สานต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย
– ร่วมสนับสนุนการทำงานใน Ecosystem ให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนธุรกิจให้สร้างผลลัพธ์ที่สมดุลและยั่งยืน
– ระดมไอเดีย ต่อยอดการทำงานในมุมมองใหม่ ทำอย่างไร? เมื่อผลกำไรไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด
เพียงอย่างเดียว
ทำอย่างไร? เมื่อผลกำไรไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดเพียงอย่างเดียว
นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า แสนสิริเป็นองค์กรธุรกิจขนาดกลางที่ได้ริเริ่มสร้างกลยุทธ์ในด้านความยั่งยืนมากว่า 10 ปี หรือปัจจุบันเราเรียกว่า ESG (Environmental, Social และ Governance) เราพบว่ากลุ่มที่เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไปสู่ความยั่งยืนคือกรีนพาร์ตเนอร์และความร่วมมือใน Ecosystem เป็นพลังสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานกลางที่กำหนดนโยบายและวางโรดแมปของประเทศ ภาคเอกชนที่ร่วมเป็นกรีนพาร์ตเนอร์กับแสนสิริในครั้งนี้ที่มาจากภาคสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง สถาปัตยกรรมการออกแบบ และพลังงานสะอาด ต้นน้ำสำคัญในการนำนวัตกรรมมาพัฒนาต่อยอดสินค้าและบริการ รวมถึงภาคสื่อสารมวลชนที่มีส่วนสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนและผู้บริโภคตระหนักในเรื่องความยั่งยืนโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมที่ปัจจัยสำคัญที่นานาชาติให้ความสำคัญ
สิ่งสำคัญคือเราจะขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนให้บาลานซ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาระดับการเติบโตของผลประกอบการได้อย่างไร สำหรับแสนสิริเรามีวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย โดยนำเสนอทั้งผลิตภัณฑ์และบริการด้านการอยู่อาศัยที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครบวงจร ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสังคมและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์การดำเนินงานด้านความยั่งยืน 3 ระดับ คือ ภายในองค์กร ความร่วมมือกับพันธมิตร และชุมชนสังคม โดยเป้าหมายสูงสุดด้านความยั่งยืนของแสนสิริไม่ใช่เฉพาะการดำเนินงานของบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสนับสนุนกรีนพารต์เนอร์ให้เติบโตไปด้วยกัน โดยแสนสิริได้ประกาศพันธกิจ อาสาเป็นผู้นำในการสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และเป็นอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593)
อีกหนึ่งตัวอย่างที่แสนสิริทำคือแนวคิดนวัตกรรมบ้านสีเขียว (Green Living Designed Home) ซึ่งเป็นหนึ่งใน Key Driver ที่ยกระดับการพัฒนาโครงการที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ของโลก ทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ รวมถึงเทรนด์การอยู่อาศัยที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในการลดผลกระทบและสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งแนวคิดนี้ประกอบไปด้วยกลไกในการทำงาน 3 Green Framework เริ่มต้นจาก 1. Green Procurement คือการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและ เลือกคู่ค้าที่ใส่ใจกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน ที่มีการคำนึงถึงการผลิตที่ลดการใช้ทรัพยากรหรือการนำกลับมาใช้ใหม่ พร้อมวางเป้าหมายจัดซื้อวัสดุคาร์บอนตํ่า (Low-Carbon) ทั้งนี้ แสนสิริได้เลือกใช้วัสดุดังกล่าวไปแล้วกว่า 53% ในปี 2566 ถัดมาคือ 2. Green Construction ที่มีขั้นตอนก่อสร้างที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การนำนวัตกรรม ผนังคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปจากโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปของแสนสิริ ซึ่งทำให้ลดระยะเวลาการก่อสร้างลง 3 เดือน ลดขยะจากการก่อสร้างได้ถึง 15% ช่วยลดฝุ่นและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในไซต์ก่อสร้างลงเป็นจำนวนมาก และ 3. Green Architecture & Design หรือการออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน สร้างสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย (Well-being) รวมถึงการออกแบบที่ผสานแนวคิดการพึ่งพาธรรมชาติ (Nature Based Design Solution) มาปรับใช้ เพื่อลดการใช้พลังงานของบ้านและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย พร้อมส่งมอบบ้านที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และรองรับการอยู่อาศัยของลูกบ้านอย่างดีที่สุด
“เราเป็นผู้พัฒนาโครงการ แต่ไม่ได้ผลิตวัสดุ อุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการก่อสร้างเอง จึงจำเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือจากคู่ค้าที่มีองค์ความรู้ทางด้านผลิตภัณฑ์อันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้นำเสนอวัสดุที่เหมาะสม ตอบโจทย์ความยั่งยืนของเรา มีการขอคำแนะนำจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมาเป็น Benchmark” นายอุทัย กล่าว