“เซ็นทรัลพัฒนา” ย้ำเบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯ ไทย มุ่งสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต ‘The Ecosystem for All’ เชื่อมโยงทุกภาคส่วน พัฒนาเศรษฐกิจและประเทศ ยกระดับการใช้ชีวิต 360 องศา กางแผนลงทุน 5 ปีต่อเนื่อง 135,000 ล้านบาท ในปี 2566-2570
– ตั้งเป้าเป็น ‘The Ecosystem for All’ ที่ทุกธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง โดยมี Retail เป็นหัวใจสำคัญ ด้วย 3 กลยุทธ์ 1) ตอบโจทย์ชีวิตครบ 360 องศา ทั้ง Online & Offline 24/7 ตลอด 365 วัน, 2) Total B2B2C Solutions ลงทุนด้าน Technology & Data-Driven Omnichannel 300-500 ล้านบาทต่อปี และ 3) Place Making สร้างพื้นที่ที่ดูแลผู้คน และสิ่งแวดล้อมสู่ NET Zero 2050
– แผน 5 ปี (ปี 2566-2570) เฉลี่ยลงทุนปีละ 25,000-35,000 ล้านบาท โดยทุกธุรกิจรวมกันมีจำนวนกว่า 200 โครงการ มีมิกซ์ยูส 25 โครงการ ครอบคลุม 30 เมืองในไทยและอาเซียน
– เผย 5 Mega Projects ภายใน 5-10 ปี ยกระดับกรุงเทพฯ เทียบชั้นมาตรฐานมหานครระดับโลก โดยแต่ละโครงการจะมีพื้นที่มากกว่า 350,000 ตร.ม. และงบลงทุนมากกว่า 20,000 ล้านบาท โดยโครงการแรกที่จะเปิดคือ “Dusit Central Park” ในปี 2567-2568
– โครงการใหม่เตรียมเปิดปี 2566-67 ได้แก่
ศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์: เปิด‘Central Westville’ (27 ต.ค. 66) ‘Marché Thonglor’ (26 มี.ค. 66), โครงการใหม่ปี 2567 ได้แก่ เซ็นทรัล นครสวรรค์ นครปฐม และกระบี่
ที่อยู่อาศัย เปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,000 ล้านบาท คือ คอนโด ESCENT เพชรบุรี, บุรีรัมย์ และนครศรีธรรมราช และบ้าน NIRATI นครศรีธรรมราช และแบรนด์ใหม่ บ้าน NIRADA พระราม 2, อุทยาน และเอกชัย
อาคารสำนักงาน เปิดขายพื้นที่ Central Park Offices ออฟฟิตที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ พร้อมตอกย้ำความสำเร็จ centralwOrld offices และเปิด Flex space แบรนด์ใหม่ ‘at wOrk’
โรงแรม: เปิดครบ 3 แบรนด์ คือ ‘Centara Ubon’ (เปิดแล้ว), ‘Centara Ayutthaya’ (ต.ค. 66), ‘Centara One Rayong’ (ธ.ค. 66), ‘GO! Hotel’ เปิดที่โรบินสันบ้านฉาง (เม.ย. 66), เซ็นทรัล ศรีราชา (มิ.ย. 66) และเซ็นทรัล ชลบุรี (มิ.ย. 66)
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืน เผยวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ธุรกิจ ประกาศพัฒนาโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็น ‘The Ecosystem for All’ ด้วยการ Synergy ธุรกิจหลัก ได้แก่ Retail ที่เป็นหัวใจหลักในการสร้างความแข็งแกร่งของระบบทั้งหมด เชื่อมโยงกับธุรกิจที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรม พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกคนทั้ง Online & Offline ครบทั้ง 360 องศา และขยายไปสู่ธุรกิจ New Assets อื่นๆ ที่จะสร้างอนาคตแห่งการใช้ชีวิต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “เรามองเห็นโอกาสใหม่ๆ ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all โดยตลอดระยะเวลา 42 ปี เซ็นทรัลพัฒนาไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนา พร้อมยึดมั่นในแนวคิด Centre of Life มาตลอดซึ่งเราได้ทำให้เกิดขึ้นจริงแล้วทั่วประเทศ โดยไม่เพียงสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจศูนย์การค้า แต่ยังขยายไปสู่ธุรกิจคอมมูนิตี้ มอลล์, ที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ พร้อมทั้งพัฒนาให้ทุกส่วนเชื่อมโยงถึงกันแบบ Seamless Synergy และยังเชื่อมต่อไปสู่พันธมิตรธุรกิจ ผู้คน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ดังนั้น เราจึงต้องการสร้าง ‘วิวัฒนาการ’ ให้เกิดขึ้น เดินหน้าสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็น ‘The Ecosystem for All’ โดยมีธุรกิจ Retail เป็นแกนหลัก ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
1. The 360-Degree Centre of Life: เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ครบทุกองศาทั้ง Offline & Online ทั้ง shop-eat-work-play-stay-live ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 365 วัน ทุกที่ ทั่วประเทศ โดยภายใน 5 ปี ทราฟฟิคในโครงการของเราจะเพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านคนเป็น 1.8 ล้านคนต่อวัน หรือคิดเป็นการมาใช้บริการ 657 ล้านครั้งต่อปี สำหรับ ในปี 2566 นี้จะมีมิกซ์ยูสที่ครบทุกองค์ประกอบเพิ่มขึ้น ได้แก่ เซ็นทรัล อุบลราชธานี, เซ็นทรัล อยุธยา และเซ็นทรัล ระยอง
โดยในแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2566-2570) ลงทุนทุกธุรกิจรวมกว่า 135,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยมีทั้งหมดมากกว่า 200 โครงการ ครอบคุลม 30 เมืองในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย ศูนย์การค้า 50 แห่ง, คอมมูนิตี้ มอลล์ 17 แห่ง, ที่อยู่อาศัย 90 แห่ง, โรงแรม 37 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และพื้นที่ใหม่ๆ Flex Offices อีก 4 แห่ง โดยจะทำให้จำนวนโครงการมิกซ์ยูสเพิ่มขึ้นจาก 18 โครงการในปี 2566 เป็น 25 โครงการในปี 2570
นอกจากนี้ ยังได้วางแผนระยะยาว 5-10 ปีในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส Mega Projects รวม 5 โครงการ ซึ่งจะยกมาตรฐานให้กรุงเทพฯ เทียบเท่ามหานครระดับโลก อย่างนิวยอร์ก, โตเกียว หรือโซล โดยโครงการแรก Dusit Central Park จะทยอยเปิดตัวในปี 2567-2568 รวมถึงอีก 4 โครงการใหญ่ที่แต่ละโครงการมีพื้นที่ GFA กว่า 350,000 ตร.ม. และเงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท
2. Total B2B2C Solutions: การเชื่อมโยงการทำธุรกิจของพันธมิตรคู่ค้า สู่การใช้ชีวิตของลูกค้าที่ครบวงจร ด้วยการลงทุนด้าน Digital Transformation & Technology Infrastructure ปีละ 300-500 ล้านบาท โดยได้มีการพัฒนา Data-driven Omnichannel ที่มีประโยชน์กับลูกค้า คู่ค้า และสังคม
3. The Place Making for Sustainable Future: ให้ความสำคัญทั้งด้าน ‘คน’ ด้วยการส่งเสริม Local Wealth โดยใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ จะมีพนักงานกว่า 6,500 คน พร้อมผลักดันการจ้างงานใน Ecosystem อีกกว่า 100,000 ตำแหน่ง การเปิดพื้นที่ค้าขายฟรีให้เกษตรกรและ SMEs ทั่วประเทศคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาทต่อปี และการสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐและ CSR รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาทต่อปี รวมไปถึงการดูแล ‘สิ่งแวดล้อม’ เดินหน้าตามโรดแมป NET Zero 2050 อาทิ การประหยัดพลังงานไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท, ติดตั้ง Solar Rooftop และขยาย EV Charger Station อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ, การเพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมถึงการจัดการขยะและขยาย Recycle Shops ในศูนย์การค้า”
นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารเซ็นทรัลพัฒนา ได้แก่ ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล, รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและโครงการ, นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงิน บัญชีและบริหารความเสี่ยง, วุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์, Head of Community Mall and International Business Development, กรี เดชชัย President, Residential Business, สุรางค์ จิรัฐติกาลโชติ Head of Hotel Development, และ ภูมิ จิราธิวัฒน์, Head of hotels and Alternative Investments ได้ร่วมกันเปิดเผยแผนธุรกิจในส่วนต่างๆ ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับ ‘The Ecosystem for All” ดังนี้