เครื่องร้อน! งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47 เปิดขายบูธ ลั่นคว้ายอดจองแล้วกว่า 75% พร้อมผนึกภาคอสังหาฯ ร่วมดันกำลังซื้อต้นปี 68
สามสมาคมฯ คาดการณ์ตลาดอสังหาฯ ไทย ปี 68 ท้าทายกว่าเก่า อาจกลับมาฟื้นตัวช้า มองโอกาสสร้างอนาคตสดใสต่อเนื่อง เดินเครื่องจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47 เรียกความมั่นใจเอกชน – ผู้บริโภค เผยผู้ประกอบการรวมใจปักหมุดจองบูธงานแล้วกว่า 75% บนพื้นที่กว่า 6,000 ตรม.
ดร.ดลพิวัฒน์ ปรีดาวิภาต ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47 กล่าวถึงภาพรวมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งล่าสุดที่ผ่านมาว่า ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมทั้งจากความร่วมมือของภาคเอกชน ภาครัฐ รวมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมงาน โดยก่อนเริ่มงานสามารถคว้ายอดผู้ลงทะเบียนเข้าชมงานเพิ่มขึ้นกว่าครั้งที่ผ่านมาถึง 2 เท่า อีกทั้งระหว่างการจัดงานยังมียอดจองซื้อที่อยู่อาศัยภายเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในรอบ 5 ปีของการจัดงาน ทะลุเป้าที่ตั้งถึง 6,000 ล้านบาท และยังส่งผลเป็นปัจจัยบวกให้ผู้ประกอบการหลายรายมียอดขายตามหลังงานอีกไม่น้อย เนื่องด้วยแคมเปญเด็ดต่อเนื่องยาวนานของผู้ประกอบการเองก็ดี ในช่วงเทศกาลปลายปีที่ยังคงออกให้แก่ลูกค้าผู้ต้องการซื้อบ้าน ซึ่งดูเหมือนว่าจากแรงหนุนนี้อาจส่งผลให้ภาคอสังหาฯ ไทย กลับมาฟื้นด้วยได้อย่างช้าๆ ในช่วงไตรมาส 2/2568
“จากความสำเร็จอย่างมหาศาลของการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดที่ผ่านมา เป็นรางวัลความสำเร็จอีกก้าว ให้แก่ 3 สมาคมฯ อันได้แก่ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ในการทำหน้าที่สำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ร่วมกับภาคอสังหาฯ ได้สำเร็จอย่างงดงาม ในฐานะประธานการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47 มองว่าอสังหาฯ ไทยในตอนนี้ เครื่องกำลังร้อน แม้หลายแบรนด์มียอดขายที่ขยับเพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายปีนี้ แต่หากประเมินจากหลากหลายปัจจัยที่กำลังเผชิญ รวมถึงปัจจัยที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในต้นปีหน้า สำหรับภาคของผู้ประกอบการแล้วยังไม่ควรผ่อนแรง และควรจะร่วมกันประคองความคึกคักในตลาดให้มีอยู่ต่อเนื่อง เพื่อความสดใสในปีหน้า 2568 ผ่านเวทีงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 47 ซึ่งผู้จัดงานจะยังคงยืนเป็นฟันเฟืองในการทำหน้าที่สำคัญผลักดันเป้าหมายของผู้ประกอบการให้สำเร็จ พร้อมขยายโอกาส เพิ่มเวลาให้แก่คนไทยที่ต้องการมีบ้านให้เป็นจริงมากขึ้น ซึ่งหากเรามองดีมานด์ในช่วงต้นปีหน้านี้ พบว่าเซ็กเมนต์ที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจจะเป็นกลุ่มสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวระดับกลาง อาคารชุด และทาวน์โฮม หรือโครงการประเภทมิกซ์ยูส อาจจะกลับมาเป็นที่ต้องการมากขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยเศรษฐกิจ
โดยปัจจุบันผู้บริโภคมองในเรื่องของราคา ความคุ้มค่าเป็นหลัก รองมาเป็นสังคมสภาพแวดล้อมในโครงการ การดูแลหลังการขาย ความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัย เป็นต้น” ดร.ดลพิวัฒน์ กล่าว