‘สิงห์ เอสเตท’ เผยแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง 2020 เดินหน้าลงทุนตามแผน 5 ปี ขยายตลาดและรุกธุรกิจรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
‘สิงห์ เอสเตท’ เผยแผนครึ่งปีหลัง 2020 รับมือวิกฤตโควิด–19 รักษาสถานะทางการเงินที่มั่นคง พร้อมลงทุนตามแผนเดิม 5 ปี ด้วยงบประมาณ 68,000 ล้านบาท เน้นขยายสู่ตลาดที่มีศักยภาพ “New Living and Working Cluster” ในทำเลที่มีความสามารถในการเติบโตสูงและพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและการลงทุนที่เปลี่ยนไปในยุค New Normal เตรียมรุก Smart M&A เสริมพอร์ตโฟลิโอที่มีคุณภาพและเติบโตอย่างยั่งยืนคู่สังคมและสิ่งแวดล้อม
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจกลุ่มสิงห์ เอสเตท ในช่วงครึ่งปีหลังว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 และสิงห์ เอสเตท ยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผนธุรกิจเดิมในระยะเวลา 5 ปี (2020-2024) งบลงทุน 68,000 ล้าน ด้วยกลยุทธ์เติบโตอย่างยั่งยืน แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการปรับเป้ารายได้รวมในปี 2020 ลดลงประมาณ 50% โดยคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 4 ธุรกิจโดยรวมจะสามารถฟื้นตัวได้
“บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิกฤตโควิด-19 จะผ่านพ้นไปโดยเร็ว และภายหลังวิกฤต เราเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ๆที่น่าสนใจพร้อมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเราจะพิจารณาลงทุนตามความเหมาะสมและมีเกณฑ์ที่เข้มงวดในการตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้สินทรัพย์ที่มีคุณภาพและโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต เราจะเดินหน้าขยาย 3 ธุรกิจหลักตามแผน โดยธุรกิจที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน จะมีการขยายไปยังทำเลใหม่ๆ สร้างสรรค์โครงการคุณภาพตอบรับโจทย์ New Normal ด้วยรูปแบบธุรกิจ New Living and Working Cluster ส่วนธุรกิจโรงแรม เราจะสร้างรายได้เพิ่มพร้อมมองหาพันธมิตรที่เหมาะสม ด้วยกลยุทธ์ Smart M&A และ Asset Light Model ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวได้เร็วแล้ว ยังสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ซึ่งการดำเนินธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ยังคงอยู่บนปรัชญาการดำเนินธุรกิจ สร้างคุณค่าให้ชีวิต มุ่งสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่กับการสร้างสังคมที่มีคุณภาพ และดูแลสิ่งแวดล้อมให้สวยงาม” นายนริศ กล่าว
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 บริษัทฯ มีการดูแลและบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ และรักษาอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net interest bearing debt to equity ratio) อยู่ในระดับต่ำ 0.86 เท่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมาจากการนำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งขายสิทธิการเช่า 30 ปี ของอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์สให้กับกอง ทรัสต์เพื่อการลงทุนสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME REIT) จึงทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมและสามารถลงทุนขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อรองรับโอกาสในอนาคต โดยจะนำอาคารสำนักงานเมโทรโพลิศและพื้นที่ค้าปลีกซันพลาซาเข้ากอง REIT รวมถึงการออกหุ้นกู้ต่อไป