อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนชาวจีน โดยข้อมูลปัจจุบันพบว่าประเทศไทยอยู่อันดับ 6 ของประเทศที่มีนักลงทุนชาวจีนเข้าไปลงทุนมากที่สุด รองจาก สหรัฐ ออสเตรเลีย แคนาดา สหราชอาณาจักร และนิวซีแลนด์ ประเทศไทยจึงถือเป็นประเทศอันดับหนึ่งในอาเซียนที่นักลงทุนชาวจีนเข้ามาลงทุนสูงสุด อย่างไรก็ตามนับจากครึ่งหลังปี 2561 การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ไทยให้แก่ลูกค้าชาวจีนในมีแนวโน้มลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งมีความเกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์การท่องเที่ยวที่กระทบกับนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงสภาพทางด้านเศรษฐกิจที่ทำให้ยอดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จากลูกค้าจีนชะลอตัวลง ไม่ว่าจะเป็น

1.สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจีนที่กำลังเป็นที่จับตามองว่าจะเกิดฟองสบู่หรือไม่

2.Trade war ระหว่างสหรัฐฯและจีน

3.มาตรการรัฐของจีนในการคุมเงินออกคนละไม่เกิน 50,000 USD ต่อปี

4.เงินหยวนอ่อนค่า

อย่างไรก็ตามแม่ว่าปัจจุบันการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวจีนเริ่มลดลงแต่ถ้าเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ยังพบว่ามีความต้องการจากลูกค้าชาวจีนอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่หวือหวา โดยปี 2560 พบว่าลูกค้าที่เป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และฮ่องกง ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยคิดเป็น 85% โดยเฉลี่ยและในปี 2561 ในระยะ 10 เดือนที่ผ่านมาพบว่าการลงทุนยังคงไม่ต่ำกว่า 80% โดยเฉลี่ย อย่างไรก็ตามมองว่าสถานการณ์นี้จะเป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งภาครัฐก็เริ่มออกมาตรการยกเลิกการเรียกเก็บค่าวีซ่า กับชาวจีนที่จะมาเที่ยวในช่วง ไฮซีซั่น มาตรการนี้มีผลเชิงจิตวิทยากับกลุ่มลูกค้าจีนก็จะทำให้สถานการณ์นักท่องเที่ยวฟื้นตัวในเร็วๆ นี้

รูปแบบการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวจีน

ในส่วนของลูกค้าต่างชาติที่เป็นชาวจีนนั้น พบว่า ส่วนใหญ่ 51.8% ซึ่งสำหรับ Yield จะอยู่ที่ประมาณ 5-8% และลูกค้าจีนส่วนใหญ่ถือยาว และยังไม่ได้มีการขายเปลี่ยนมือ อสังหาริมทรัพย์ไทยเมื่อเทียบกับประเทศศักยภาพใกล้เคียงเช่น จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง มี Yield อยู่ที่ 2.7% อสังหาริมทรัพย์ในไทยจึงมีความน่าสนใจในแง่การลงทุนมาก ทั้งด้านราคา และทำเล อีกทั้งประเทศไทยยังเปิดโอกาสให้ต่างชาติได้เข้ามาลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายกว่าในสัดส่วนให้ต่างชาติถือครองได้ไม่เกิน 49% ของโครงการ

สำหรับรูปแบบห้องที่นักลงทุนชาวจีนนิยมนั้น จะชอบขนาด 1 ห้องนอน โดยที่ราคาไม่เกิน 3-7 ล้าน ทำเลที่เป็นที่นิยมของชาวจีนคือโซนพระราม 9, รัชดา, ลาดพร้าว เนื่องจากใกล้สถานฑูตจีนและตามเส้นทางรถไฟฟ้า โดยเฉพาะเส้นสุขุมวิท

ในปี 2561 นี้ยอดซื้อของลูกค้าจีนได้กระจายออกไปยังโซน จรัญสนิทวงศ์ วุฒากาศ เจริญนครมากขึ้น และปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของนักลงทุนชาวจีนไม่เพียงเรื่องของทำเลเท่านั้น แต่ต้องเป็นโครงการที่ก่อสร้างได้มาตรฐาน และราคาสมเหตุสมผล

สถานการณ์ฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ไทย

ในช่วงหลังคำว่าฟองสบู่ได้รับความสนใจในวงกว้างอีกครั้ง โดยเฉพาะล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการเข้มงวดในเรื่องการวางเงินดาวน์ จึงทำให้เกิดการกล่าวถึงฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น จากสถานการณ์ในปัจจุบันมองว่าแม้จะมีอุปทานจากผู้ขายเข้ามามาก แต่ยังไม่ถึงขั้นฟองสบู่ ซึ่งมองว่าการออกมาตรการของ ธปท.ก็ถือเป็นการป้องกันที่ดี แม้ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รวมถึงผู้ซื้อก็ต้องปรับตัวสำหรับมาตรการนี้บ้าง ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการนั้นอาจจะต้องมองหารูปแบบการทำธุรกิจใหม่ๆ เช่นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง และในส่วนของภาครัฐมองว่าอยากให้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรกโดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มทำงาน เช่นโปรแกรมการออมเงินเพื่อซื้อบ้านหลังแรก เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกำลังซื้อของกลุ่มเริ่มทำงาน

การปรับตัวด้านการลงทุนของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562

หลังจากครึ่งปี 2561 ที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการแนวสูงจำนวนมากจนทำให้ปริมาณห้องชุดเปิดใหม่สะสมสูงถึง 45,899 หน่วย (ไตรมาส 3 ปี 2561) ทำให้ผู้พัฒนาโครงการหลายเจ้าหันมามองตลาดแนวราบมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ทำให้ทำเลที่ดินบริเวณรอบกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นที่น่าจับตามอง เช่น พระราม 2 บางนา ราชพฤกษ์-พระราม 5 เกษตร-นวมินทร์ รามอินทรา-ศรีนครินทร์ รังสิตรวมทั้งโครงการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังจาก ไตรมาศ 2 ปี 2561 จะเป็นโครงการที่มี Concept ที่เป็น mix used และมีความจำเพาะกับกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น อีกทั้งยังมีการระดมเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาเช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ฯลฯ