ซีบีอาร์อีเผยเทรนด์น่าจับตาตลาดอสังหาฯ ปี 2565
จากการที่โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ได้เผยแนวโน้มสำคัญและปัจจัยเสี่ยงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ธุรกิจต่าง ๆ ควรจับตามองในปี 2565 ทั้งในตลาดที่พักอาศัย ตลาดพื้นที่สำนักงาน ตลาดพื้นที่ค้าปลีก ตลาดพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ รวมถึงตลาดโรงแรม
นางสาวรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “ปี 2565 เป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวและเคลื่อนไหวในเชิงรุกมากขึ้น และเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ลูกค้ามีการคัดเลือกอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นรวมถึงมีความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้นด้วย ในขณะที่นักลงทุนและผู้พัฒนาโครงการจะต้องเผชิญความท้าทายในการนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมเข้ามาสู่ตลาดที่มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องรับรู้ถึงแนวโน้มใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อปรับกลยุทธ์และการดำเนินการให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง”
นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2565 อยู่ที่ 3.4% เพิ่มขึ้นจาก 0.9% จากปี 2564 โดยจะขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าและผลการดำเนินงานของภาคการส่งออกเป็นหลัก นโยบายและมาตรการของรัฐบาลต่อสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงสองไตรมาสแรกของปี 2565 จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะเข้าสู่ปีที่ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนเริ่มแพร่กระจายแล้ว และเนื่องจากปัจจุบันยังเป็นช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอน จึงมีความเสี่ยงที่สำคัญหลายประการที่น่าจับตามองในปีนี้”
ความเสี่ยงของการเกิดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่และการตอบสนองของวัคซีนต่อเชื้อไวรัสจะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและความเชื่อมั่นของตลาด การรับมือในระดับรัฐบาลและปฏิกิริยาของผู้คนต่อสถานการณ์จะเป็นเรื่องที่สำคัญ การตัดสินใจของรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายด้านการเงิน มาตรการกระตุ้น ข้อบังคับ รวมถึงการตัดสินใจที่สำคัญอื่น ๆ จะเป็นตัวกำหนดความเคลื่อนไหวของตลาด จากการที่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ รวมถึงการหยุดชะงักของธุรกิจอื่น ๆ ในช่วงสองปีที่มีโควิด-19 ประกอบกับความไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า ทำให้รายได้สุทธิของประชากรในประเทศเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างที่ไม่เคยมาก่อน รวมทั้งการฟื้นตัวของตลาดแต่ละภาคธุรกิจจะเกิดขึ้นไม่เท่ากันและจะปรับตัวในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
ตลาดที่พักอาศัย
ปีที่แล้วเป็นปีที่ซบเซาสำหรับตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงเทพมหานคร ไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่เป็นเวลาต่อเนื่องเกือบ 3 ไตรมาส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขณะที่ความต้องการที่พักอาศัยแนวราบยังคงแข็งแกร่ง โดยเป็นผลมาจากความนิยมของผู้ซื้อเพื่ออยู่เองที่เปลี่ยนไปสู่ที่พักอาศัยที่มีความหนาแน่นต่ำ มีพื้นที่ใหญ่ขึ้น และยืดหยุ่นมากขึ้น ในปีนี้ ผู้พัฒนาโครงการจะพิจารณาเรื่องการเปิดโครงการใหม่อย่างรอบคอบ ซึ่งต้องมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้ซื้อในประเทศ เนื่องจากผู้ซื้อเพื่อเก็งกำไรนั้นหายไปจากตลาด ซีบีอาร์อีคาดว่าอัตราการขายในตลาดคอนโดมิเนียมจะยังคงชะลอตัว เนื่องจากผู้ซื้อที่เป็นผู้พักอาศัยเองมักจะใช้เวลาในการตัดสินใจและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมากกว่า สำหรับตลาดที่มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง เช่น โครงการใกล้มหาวิทยาลัยหรือโครงการที่มีเครือโรงแรมบริหาร (Branded Residence) จะยังคงมีผลการดำเนินการที่ดีต่อไป ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและนโยบายอื่น ๆ ที่มาช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่ความสามารถในการซื้อยังคงเป็นปัจจัยสำคัญและผู้ซื้อยังคงมองหาข้อเสนอที่ดีที่สุด เนื่องจากผู้ซื้อมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นถึงสถานการณ์ที่ผู้พัฒนาโครงการเผชิญอยู่
คอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ ไตรมาส 1 ปี 2555 – ไตรมาส 3 ปี 2564
ที่มา: แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี
นางสาวอาทิตยา เกษมลาวรรณ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “ปีนี้ความต้องการจากผู้ซื้อที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเองจะมีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องใช้กุลยทธ์เชิงรุกมากขึ้นเพื่อขายยูนิตที่ยังคงเหลือ ขณะเดียวกันยังต้องสร้างจุดขายที่แตกต่างให้กับตัวโครงการอีกด้วย โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ซื้อที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเอง ที่เปลี่ยนแปลงไป เทรนด์ที่พักอาศัยจะเน้นไปที่พื้นที่ขนาดใหญ่และฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้องกับความต้องการที่เกิดขึ้นหลังจากเกิดโควิด-19 อาทิ ห้องอเนกประสงค์สำหรับครอบครัว พื้นที่สีเขียวหรือเปิดโล่ง การมีสุขภาพที่ดี และเทคโนโลยี”
“สำหรับตลาดรีเซลล์หรือตลาดที่พักอาศัยมือสอง สถานการณ์โควิด-19 กลับมีผลดีบางประการในแง่ของการทำให้มีการปล่อยยูนิตที่หายากออกมาเสนอขาย ซึ่งยูนิตเหล่านี้จะหาซื้อไม่ได้ในช่วงเวลาที่สภาพตลาดเป็นปกติ ขณะเดียวกันความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น การมอบความสะดวกสบายให้แก่ลูกหลาน และการเติมเต็มในการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ซื้อชาวไทยที่ไม่มีภาระทางการเงินตัดสินใจขยายพอร์ตการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของตนให้กว้างขึ้น” นางสาวปพิณริยา พึ่งเขื่อนขันธ์ หัวหน้าแผนกซื้อขายที่พักอาศัยรายย่อย กล่าวเสริม
สรุปเทรนด์ที่น่าจับตามอง
– ผู้ประกอบการหันมาตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อในประเทศที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเอง
– ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เช่น โครงการระดับบนที่มีเครือโรงแรมมาบริหาร (Branded Residence) จะไปได้ดี
– ผู้ซื้อยังคงมองหาข้อเสนอที่ดีที่สุดเนื่องจากยังคงมีแรงกดดันในเรื่องกำลังซื้อ