ซีบีอาร์อีเผยปี 2568 คอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ถือเป็นแรร์ไอเทม ขณะที่ตลาดภูเก็ตเติบโตก้าวกระโดดเป็นปีที่ 3 พร้อมเผยโครงการใหม่จ่อคิวเปิดตัวปีนี้
นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก สรุปภาพรวมตลาดที่พักอาศัยใจกลางกรุงเทพฯ ตัวเลขยอดขายคอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่เฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 93 สืบเนื่องจากมีโครงการใหม่เปิดตัวไม่มากและมีการเร่งระบายสต็อกที่สร้างแล้วเสร็จ อีกทั้งได้อานิสงส์ปัจจัยหนุนจากความต้องการที่พักอาศัยในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั้งประเทศ ณ สิ้นปี 2567 จำนวน 14,573 ยูนิต สูงกว่าปี 2566 กว่า 5.27% อีกทั้งเริ่มมีข่าวการเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ บนทำเลใจกลางเมืองทได้รับการพัฒนาทั้งดีไซน์ ฟังก์ชั่น และคุณภาพมาเป็นอย่างดี
ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงเทพฯ ณ สิ้นปี 2567 มีจำนวนโครงการที่เปิดตัวใหม่เพียง 11 โครงการ รวมเป็นจำนวน 3,029 ยูนิต สืบเนื่องมาจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงต้องการที่จะเร่งระบายสต็อกที่สร้างแล้วเสร็จเพื่อรักษาสภาพคล่องให้ได้มากที่สุด อีกทั้งยังไม่มั่นใจกับสถานการณ์โดยรวม รอสัญญาณบวกจากหลายภาคส่วน แต่เห็นได้ว่าในขณะที่รอจังหวะที่เหมาะสมในการเปิดตัวโครงการใหม่ ก็มีการเร่งพัฒนาตัวโครงการ สร้างจุดขายที่สำคัญและจับต้องได้อย่างแท้จริงเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายของตนเองให้ได้มากที่สุด เชื่อว่าโครงการที่กำลังจะเปิดตัวออกมาในปี 2568 นี้จะต้องผ่านการออกแบบ คิดวิเคราะห์มาอย่างละเอียดและสามารถชูจุดเด่นของโครงการได้อย่างชัดเจนเพื่อให้แข่งขันในตลาดได้ ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงภาพรวมยอดขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมทำเลใจกลางเมืองที่พร้อมเข้าอยู่ในปีที่ผ่านมา พบว่าอยู่ที่ร้อยละ 93 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูง โดยทำเลที่มียอดขายสูงสุด 3 อันดับได้แก่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใจกลางลุมพินี และสุขุมวิทชั้นนอก โดยลูกค้ากลุ่มนี้มองหาโปรดักส์ที่ตอบโจทย์กับไลฟ์ไตล์ มีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน คุ้มค่ากับราคาและยังสามารถเก็บไว้เพื่อเป็นสินทรัพย์หรือลงทุนปล่อยเช่าในอนาคตได้
จากการปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไปโดยซีบีอาร์อี ณ สิ้นปี 2567 พบว่า มีสัดส่วนจำนวนยูนิตที่ขายได้จากลูกค้าชาวไทยอยู่ที่ร้อยละ 82 และลูกค้าชาวต่างชาติร้อยละ 18 โดยกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีการปิดการขายจำนวนยูนิตมากที่สุด ได้แก่ ชาวไต้หวัน ออสเตรเลีย จีน อเมริกัน และพม่า ตามลำดับ ขณะที่หากพิจารณาจากมูลค่ายอดขาย ตัวเลขลูกค้าชาวไทยกลับลดลงอยู่ที่ร้อยละ 61 ในขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 39 ซึ่งมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ยูนิตที่ปิดการขายที่มีมูลค่าสูงที่สุดเป็นลูกค้าชาวไต้หวัน ส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมหรูพร้อมเข้าอยู่ในทำเลใจกลางลุมพินี รองลงมาได้แก่ ชาวพม่า จีน แคนาดา และฮ่องกง ตามลำดับ โดยยูนิตที่ปิดการขายที่มีมูลค่าสูงสุดอยู่ที่ 230 ล้านบาท ซึ่งอยู่่ใจกลางสุขุมวิท
ทำเลยอดนิยมที่ลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติตัดสินใจซื้อโครงการคอนโดมิเนียม ได้แก่ ทำเลใจกลางลุมพินี เนื่องจากเป็นทำเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อีกทั้งยังสะดวกสบายในการเข้าถึงการเดินทางทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT ทำให้โครงการคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ได้รับกระแสตอบรับที่ดี อาทิ โครงการ The Residences at Dusit Central Park ที่ปิดยอดขายแล้วกว่า 85% โดยที่โครงการยังไม่แล้วเสร็จ รองลงมาคือทำเลสุขุมวิท และสีลม-สาทร โดยมีจุดประสงค์ในการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองร้อยละ 73 และเพื่อการลงทุนร้อยละ 27 ทั้งนี้ ซีบีอาร์อียังเห็นถึงความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมหรูในย่านใจกลางเมืองที่มียูนิตขนาดใหญ่จากทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติในปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตลาดไม่ค่อยมีซัพพลายห้องใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะยังคงได้รับความสนใจในปี 2568 เช่นกัน
ภาพรวมตลาดบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไปในกรุงเทพฯ ยังคงได้รับความสนใจ แต่ไม่หวือหวาเท่าปีก่อน ๆ พบว่ายอดขายโครงการบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไปมีตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ 59 ซึ่งถือว่าเริ่มชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่ในอัตราที่สูง จึงทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกที่มากขึ้น จากการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าที่ซีบีอาร์ปิดการขาย พบว่า ทำเลที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อโครงการบ้านหรูมากที่สุด ได้แก่ ตัวเมืองกรุงเทพฯ รองลงมาคือกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก และกรุงเทพฯ ตอนเหนือ โดยมีจุดประสงค์ในการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองร้อยละ 94 และเพื่อการลงทุนร้อยละ 6 โดยต้องการบ้านรูปแบบ 4-5 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 400 ตร.ม. และขนาดที่ดินมากกว่า 100 ตร.วา ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าโครงการบ้านที่จะได้รับความนิยมในปี 2568 จะยังคงเป็นเทรนด์เหมือนปีที่ผ่านมา คือโครงการที่อยู่ในทำเลเดินทางสะดวก เชื่อมต่อไปยังย่านใจกลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) ได้ง่าย ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก สถานศึกษาและโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวังในการพัฒนาโปรดักส์ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้ชีวิตและความต้องการที่เปลี่ยนไปของกลุ่มลูกค้าซึ่งนอกเหนือจากความต้องการพื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มมากขึ้นและคุณภาพโครงการที่สูงขึ้นแล้ว ยังคงพิจารณาเรื่องราคาและความคุ้มค่าด้วย เนื่องจากมีตัวเลือกในตลาดที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบ และเลือกสิ่งที่ใช่และคุ้มค่ามากที่สุด