คนหาบ้านต้องรู้ เช็กพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมบ่อยในกรุงเทพฯ ก่อนคิดซื้อบ้าน
น้ำท่วมเป็นปัญหาที่คนกรุงฯ อิดหนาระอาใจมายาวนาน แม้จะมีการพยายามวางระบบเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ แต่ปัญหานี้ก็ยังคงเป็นเรื่องกวนใจในชีวิตความเป็นอยู่ของคนในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาลักษณะทางกายภาพร่วมกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตกรุงเทพฯ จะมีโอกาสจมน้ำ เห็นได้จากรายงานความเสียหายทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์จากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลแบบสภาวะสุดขีดใน 7 เมืองของเอเชียภายในปี พ.ศ. 2573 ของกรีนพีซ เผยว่า สภาพภูมิศาสตร์ของกรุงเทพฯ เป็นที่ลุ่มต่ำที่เสี่ยงน้ำท่วมหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ภายในปี พ.ศ. 2573 สอดคล้องกับรายงาน Turn Down the Heat: Climate Extremes, Regional Impacts, and the Case for Resilience ของธนาคารโลก ที่คาดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ มีโอกาสจมน้ำภายในปี พ.ศ. 2573 เช่นเดียวกัน ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมขังที่มีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จึงสร้างความกังวลให้ผู้บริโภคมองว่าธรรมชาติกำลังส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่ใกล้เข้ามา
ถอดรหัสทำไมกรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองน้ำมาก
– ความเจริญอย่างรวดเร็วเปลี่ยนพื้นที่รับน้ำ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและระบบคมนาคมเพื่อรองรับการเป็นเมืองหลวงส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของแหล่งงาน สถานศึกษา และการลงทุนของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ การเร่งพัฒนาของเมืองทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่รับหรือระบายน้ำลดน้อยลง และถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง จึงเกิดปัญหาน้ำท่วมขังได้ง่ายกว่าในอดีต
– ท่อระบายน้ำเล็กเกินไปและมักอุดตัน ระบบท่อระบายน้ำในกรุงเทพฯ ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำฝนในปริมาณที่ฝนตกไม่เกิน 60 มิลลิเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น แต่ปัจจุบันฝนที่ตกลงมามีปริมาณมากกว่า 100 มิลลิเมตร/ชั่วโมง จึงทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน และยังมีปัญหาท่อระบายน้ำอุดตันจากการสะสมของเศษขยะ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้พยายามหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา เช่น กำหนดให้มีการวางท่อระบายน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 เมตร เมื่อมีการสร้างหรือปรับปรุงถนนใหม่ รวมถึงการก่อสร้างท่อลอด Pipe Jacking จะใช้ท่อระบายน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.20 เมตร รวมทั้งสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ และลอกท่อระบายน้ำอย่างสม่ำเสมอ
– พื้นดินทรุดตัวต่อเนื่อง การสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้อุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมมาเป็นเวลายาวนานส่งผลให้ชั้นดินค่อย ๆ ยุบตัวจนเกิดแผ่นดินทรุดตัวสะสม ทำให้ลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพฯ เป็นแอ่งกระทะเมื่อมีฝนตกหนักจึงท่วมขังได้ง่าย จนมีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมการใช้น้ำบาดาลในปี พ.ศ. 2540 การทรุดตัวจึงชะลอลง แต่ระดับความสูงต่ำของแต่ละเขตยังคงแตกต่างกันอยู่ เห็นได้จากผลการศึกษาสำรวจของสำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. 2544 รายงานว่าสถานการณ์โดยรวมของแผ่นดินทรุดในเขตกรุงเทพฯ ดีขึ้น มีอัตราการทรุดตัวอยู่ที่ประมาณปีละ 1 เซนติเมตร ยกเว้นเขตดอนเมืองที่มีอัตราการทรุดตัวอยู่ระหว่าง 3-5 เซนติเมตรต่อปี และเขตหนองจอกมีอัตราการทรุดตัวอยู่ระหว่าง 2-3 เซนติเมตรต่อปี
– ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แต่ละพื้นที่มีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมไม่เท่ากัน จากข้อมูลของกรมแผนที่ทหาร พบว่า พื้นที่ในกรุงเทพฯ สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางเพียงประมาณ 1-1.5 เมตร ถือว่ามีระดับที่ไม่สูงมากนัก
– Climate change ดันระดับน้ำทะเลหนุนสูง มักเกิดในพื้นที่ราบลุ่มที่อยู่ไม่ไกลจากปากอ่าวหรือทะเล ระดับน้ำในแม่น้ำจะได้รับอิทธิพลน้ำขึ้น-น้ำลงเนื่องมาจากระดับน้ำทะเลหนุนตลอดเวลา ในช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนสูงเมื่อรวมกับมวลน้ำเหนือจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงฤดูฝนจึงทำให้เกิดน้ำท่วมในชุมชนริมแม่น้ำเสมอ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดการณ์ว่า ก่อนปี พ.ศ. 2593 กว่า 600 ล้านคนทั่วโลกที่อาศัยในที่ราบลุ่มอาจต้องเผชิญกับน้ำท่วมชายฝั่งซึ่งเป็นผลมาจากระดับน้ำในมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้น