“กลุ่มมโนธรรมรักษา”ขยายฐานปักหมุดสร้างอาณาจักรทำเลในทอน จ.ภูเก็ต ปลื้มหลังผนึกกลุ่มทุนจีนผุดคอนโดฯ-ดึงเชนดังบริหาร เศรษฐีรัสเซียแห่ซื้อเพียบ อนาคตตั้งเป้าปั้น “มินิลากูนา”จุดหมายปลายทางนักลงทุน-ท่องเที่ยว ประกาศแผน 2 ปี จ่อผุด 2 โครงการใหม่ รวมมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท

เกริก บุณยโยธิน 18 May, 2025 at 20.34 pm

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


กลุ่ม “มโนธรรมรักษา”ปลื้มหลังขยายฐานปักหมุดสร้างอาณาจักร เป็นแลนด์ลอร์ดใหญ่ทำเลหาดในทอน จ.ภูเก็ต บนพื้นที่กว่า 80 ไร่ นำร่องผนึกกลุ่มทุนจีนผุดคอนโดฯ โลว์ไรส์ “ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน” พร้อมดึงเชน WYNDHAM เข้าบริหาร สร้างความเชื่อมั่น ผลเศรษฐีรัสเซียแห่ซื้อเพียบ ผลตอบแทนการลงทุนจูงใจ ระบุตลาดอสังหาฯภูเก็ตต้องพึ่งพาและได้รับการยอมรับจากเอเยนต์ จึงไปรอด ตั้งเป้าปั้นเป็น “มินิลากูนา” จุดหมายปลายทางนักลงทุน-ท่องเที่ยวในอนาคต กางแผน 2 ปี เตรียมผุดวิลล่า-คอนโดฯ มูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท มั่นใจทุกโครงการออกแบบ-ใช้วัสดุคุณภาพ-ก่อสร้างได้มาตรฐาน รองรับแผ่นดินไหวได้ถึง 7.7 แมกนิจูด

นายวีระวิทย์ มโนธรรมรักษา รองประธาน บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด เปิดเผย ถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ จังหวัดภูเก็ต ว่า จากข้อมูลของ แผนกวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส (ประเทศไทย)จำกัด  พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 1/2568 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ภูเก็ต มีโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศเปิดขายใหม่มากกว่า 45 โครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 49,160 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียม ในจังหวัดภูเก็ตจะยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่อุปทานเปิดขายใหม่อาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 8,000 -10,000 ยูนิต เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่า 20,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง โดยทำเลย่านในทอน ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยพบว่าในช่วงก่อนหน้ามีโครงการบ้านพักตากอากาศระดับลักชัวรี่เปิดขายที่ระดับราคาขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งปัจจุบันอุปทานเหล่านี้ถูกซื้อขายจากกลุ่มกำลังซื้อระดับบนเป็นที่เรียบร้อยทุกยูนิต และทำเลแห่งนี้กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในกลุ่มของคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มองเห็นศักยภาพของพื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติและไม่หนาแน่นจนเกินไป หนึ่งในจุดเด่นของย่านในทอนคือ ยังไม่มีการแข่งขันด้านอสังหาฯสูงมากนัก โดยพบว่าปัจจุบันในพื้นที่ย่านในทอนมีอุปทานคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 2 โครงการ 820 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.18 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด และสำหรับบ้านพักตากอากาศพบว่า ปัจจุบันมีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 6 โครงการ 113 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.75 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด ซึ่งถือว่าน้อยเป็นอย่างมาก ทำให้ตลาดในพื้นที่นี้มีความน่าสนใจในด้านโอกาสการเติบโตในอนาคต รวมถึงความเป็นไปได้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในระยะกลางและระยะยาว

อีกทั้งย่านในทอนยังมีความได้เปรียบในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เป็นธรรมชาติ และเหมาะกับการอยู่อาศัยแบบพักผ่อนหรือการพัฒนาเป็นรีสอร์ตระดับพรีเมียม ใกล้กับสนามบินนานาชาติภูเก็ตและอยู่ไม่ไกลจากแหล่งอำนวยความสะดวกสำคัญเช่น สนามกอล์ฟหรู โรงแรมระดับห้าดาว และร้านอาหารชั้นนำ จากแนวโน้มดังกล่าว ย่านในทอนจึงถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็น “ดาวรุ่ง” ดวงใหม่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต ที่สามารถดึงดูดทั้งกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการปล่อยเช่าหรือเพิ่มมูลค่าในอนาคต

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในย่านในทอน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือบ้านพักตากอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาวรัสเซียที่หนีภัยสงครามเข้ามาหาซื้อพูลวิลล่าในภูเก็ต นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนจากยุโรป สแกนดิเนียเวีย รัสเซีย จีน และอินเดียที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือที่อยู่อาศัยระยะยาว ซึ่งการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบLeasehold (เช่าระยะยาว 30 ปี) เป็นที่นิยมในกลุ่มนี้

ส่วนกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่ซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในย่านในทอน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย บางรายอาจซื้อเพื่อการลงทุนหรือปล่อยเช่าในระยะยาว โดยรวมแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในย่านในทอนยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากทำเลที่ตั้งที่เงียบสงบและมีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต

ส่วนราคาที่ดินย่านในทอน พบว่าที่ดินพื้นที่เชิงเขา ที่ดินมีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 15-30 ล้านบาทต่อไร่ สำหรับที่ดินใกล้ชายหาดจะมีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 25-50 ล้านบาทต่อไร่

 

นายวีระวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบันตลาดอสังหาฯภูเก็ตจะมีการแข่งขันที่ดุเดือด จากการที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดกันมาก แต่ตนมองว่าไม่มีผลกระทบ เพราะทางคุณพ่อของตน คือ “นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา” ได้เห็นศักยภาพ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล จึงได้เข้ามาซื้อที่ดินย่านหาดในทอน เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยมีทั้งที่ดินที่ซื้อเองและเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี จนถึงปัจจุบันมีรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 ไร่ ทั้งนี้เพื่อเก็บเป็น ASSET PROPERTY ของครอบครัว ถือว่าเป็นแลนด์ลอร์ดที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในย่านหาดในทอน และเริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2562 ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐีรัสซีย และการได้รับการยอมรับจากเอเยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในภูเก็ต เพราะหลักการทำงานเอเยนต์ในภูเก็ต จะไม่สนใจในแบรนด์เล็ก หรือใหญ่ แต่สนใจในเรื่อง Profile ,สินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถการันตีผลตอบแทนการลงทุนให้ลูกค้าได้เป็นที่น่าพอใจ เพราะภาพรวมการขายอสังหาฯในจ.ภูเก็ต นั้น คือต้องพึ่งพาช่องทางการตลาดขายผ่านเอเยนต์ มากถึง 70% และบริษัทฯก็ประสบความสำเร็จในเรื่องดังกล่าว มีลูกค้าเข้าซื้อและใช้บริการโครงการอย่างต่อเนื่อง

โดยโครงการแรกที่พัฒนาในปี 2562 คือ อาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้น บริเวณด้านหน้าถนนติดชายหาดในทอน จำนวน 20 ยูนิต แบ่งเป็น 3 คลัสเตอร์ๆละ 7-8 ยูนิต ซึ่งเป็นการขายเช่าระยะยาว 30 ปี ในราคา 7-8 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนกว่า 100 ล้านบาท แต่ปัจจุบันได้ปรับแผนการพัฒนาใหม่ โดยปล่อยเช่าพื้นที่ชั้นล่างในแต่ละยูนิตเป็นร้านค้าต่างๆ ราคาประมาณ 30,000 บาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันมีผู้เช่าเต็มทั้งหมด ส่วนชั้น 2-3 ปล่อยเช่าเป็นโรงแรม ซึ่งมีใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 74 ห้อง ราคา 1,500-4,500 บาท/คืน แล้วแต่ช่วงฤดูกาล

และในปี 2562 ต่อเนื่อง 2563 ได้นำที่ดินประมาณ 12 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนอสังหาฯจีน Bestart International Holdings  มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้แบรนด์ “ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน” (Seaheaven Phuket Naithon) แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส มูลค่าโครงการรวมว 1,500 ล้านบาท เน้นในรูปแบบของการขายเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี โดยเฟสแรก มีจำนวน 1 อาคาร สูง 5 ชั้น ขนาด 37-70 ตารางเมตร จำนวน 124 ยูนิต ระดับราคาตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป  (ปัจจุบันราคาขายปรับขึ้นเป็นเริ่มต้นที่ 5-6 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต) ปัจจุบันปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนเฟส 2 เปิดการขายเมื่อปี 2566 เป็นคอนโดฯสูง 5 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 4.5 ล้านบาทขึ้นไป หรือเริ่มต้นที่ 120,000-130,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป(ปัจจุบันปรับขึ้นไปที่เริ่มต้น 170,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป) ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 72%

เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า บริษัทฯจึงได้ดึงเชนโรงแรมแบรนด์ WYNDHAM เข้ามาบริหารโครงการด้วย โดยการันตีผลตอบแทนการลงทุนที่ 7% ต่อปี หลังนั้นในปีที่ 6 เป็นต้นไปก็จะแบ่งผลประกอบการจากการปล่อยเช่าห้องพัก ในสัดส่วน 30:70 โดยลูกค้าที่เป็นเจ้าของห้องพัก จะสามารถเข้าพักในช่วงไฮซีซันได้ 10 วัน/ปี และช่วงโลว์ซีซัน ได้ 20 วัน/ปี ซึ่งลูกค้าที่ซื้อและมาเช่าพักส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเศรษฐีรัสเซีย ที่มากันเป็นครอบครัว และมีความต้องการความเป็นส่วนตัวสูง โดยในช่วงก่อนและหลังเทศกาลปีใหม่ 15 วัน สามารถปล่อยเช่าได้ในเรท 70,000 บาท/เดือน  สำหรับคอนโดฯในเฟสที่ 2 จะเริ่มทยอยโอนได้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2568 นี้

และเมื่อปลายปี 2566 ได้ขยายฐานการพัฒนาเอง 100% ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เมอริส จำกัด ด้วยการนำที่ดิน 3 ไร่เศษ จากทั้งหมด 80 ไร่ มาพัฒนาวิลล่า แบรนด์ “ภูวิสต้า วิลล่า” ขนาด 70-160 ตารางวา ราคาขาย 32-72 ล้านบาท จำนวน 10 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 8 ยูนิต ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย,โปแลนด์ และมีคนไทยซื้อเพียง 2 ยูนิตเท่านั้น

 

ล่าสุดได้นำที่ดินอีก 4 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ อีก 2 อาคาร ภายใต้แบรนด์ Seaheaven” เฟส 3 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนจีนเช่นเดิม แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยเฟสแรกเป็นคอนโดฯ สูง 7ชั้น จำนวน 1 อาคาร พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 30-70 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ 3.9-8 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 108 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 69%

ส่วนเฟสที่ 2 จะพัฒนาเป็นคอนโดฯอีก 1 อาคาร จำนวน 115 ยูนิต โดยจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนตุลาคม หรือ พฤศจิกายน 2568 นี้ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“ถ้าพูดถึงภูเก็ตแล้ว โครงการที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากที่สุดคือ ลากูน่า ภูเก็ต ซึ่งอยู่ในย่านบางเทา ถือเป็นลักชัวรีอสังหาฯในภูเก็ต และตั้งเป้าหมายที่จะให้อาณาจักรของ ‘บีสตาร์ เฮฟเว่น’กลายเป็น ‘มินิลากูนา’ในอนาคต ที่ลูกค้าสามารถเข้าใช้ทุกอย่างภายในโครงการได้ครบวงจร โดยคาดว่าที่ดินทั้ง 80 ไร่นี้ จะต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนามากกว่า 5 ปีขึ้นไป ซึ่งข้อดีของเราคือไม่ได้เลือกพัฒนาในทำเล  Red Ocean ดังนั้นการเลือกทำเลที่จะพัฒนาถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” นายวีระวิทย์ กล่าว

 

นายวีระวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนในระยะเวลา 2 ปีนี้ (2568-2569) มีแผนจะพัฒนาโครงการเองโดยไม่ได้ร่วมทุนกับพันธมิตร จำนวน 2 โครงการ โดยในปี 2568 นี้จะเป็นการพัฒนาโครงการ “ภูวิสต้า แอร์พอร์ต” ตั้งอยู่บริเวณหาดในยาง บนพื้นที่ 15 ไร่เศษ ห่างจากสนามบินภูเก็ต เพียง 5 นาที ในรูปแบบของวิลล่า ขนาดตั้งแต่ 60-100 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 15-35 ล้านบาท จำนวน 44 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนพฤษภาคม 2568 นี้

 

และปี 2569 มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส บนแลนด์แบงก์ย่านหาดในทอน จากทั้งหมด 80 ไร่ โดยเริ่มจากการเปิดตัวคอนโดฯ แบรนด์ “แซง โทเปซ” (Saint Tropez) สูง 7 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.5-6 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท

 

และจากการที่มีผู้ทำนายว่า ภูเก็ต เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความเสี่ยงจะเกิดสึนามิ และแผ่นดินไหวอีกนั้น มองว่าสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ที่ผ่านมานั้น บริเวณย่านหาดในทอนนั้นแทบไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากที่ตั้งจะถูกบดบังไว้ด้วยภูเขาทั้ง 2 ด้าน ทำให้ตัวหาดเหมือนอยู่ด้านใน และในส่วนของบริษัทเอง ขณะนั้นซื้อที่ดินไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้มีการพัฒนาโครงการแต่อย่างใด จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ประกอบกับที่ผ่านมาทางองค์การบริหารส่วนตำบลสาคู และอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ได้มีการเตรียมรับมือด้านมาตรการป้องกันมานานแล้ว ทั้งในเรื่องสัญญาณเตือนภัย และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่อย่างต่อเนื่อง

ส่วนการรับมือจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น มั่นใจว่าโครงการของบริษัทที่พัฒนาขึ้นมานั้น ออกแบบและก่อสร้างได้ถูกต้องตามเงื่อนไขและมาตรฐานที่กำนด ซึ่งสามารถรองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้ถึง 7.7 แมกนิจูด จึงไม่ค่อยมีความกังวลแต่อย่างใด ประกอบกับทุกอาคารที่พัฒนาไม่มีความสูงมาก และวัสดุที่ใช้ก่อสร้างก็มีคุณภาพและได้มาตรฐาน  อีกทั้งงานก่อสร้างทางบริษัทก็เป็นผู้ควบคุมเองทั้งหมด ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรจากจีนจะเพียงแค่นำเม็ดเงินมาร่วมลงทุนให้เท่านั้น แต่การบริหารจัดการทางกลุ่มผู้บริหารคนไทยจะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ซึ่งทางครอบครัวก็มีประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาฯมาช้านานหลายสิบปี ดังนั้นลูกค้าจึงมั่นใจในโครงการที่พัฒนาได้เป็นอย่างดี

เกริก บุณยโยธิน

เกริก บุณยโยธิน

ผู้ก่อตั้งเวปไซต์แบ่งปันความรู้ด้านการตลาด และการสร้างแบรนด์ในวงการอสังหาฯ พร็อพฮอลิค ดอทคอม..หลังจากที่ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ในการวนเวียน เข้าๆออกๆ ในสายงานด้านการตลาด และวางแผนกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ของบริษัทอสังหาฯ และเอเยนซีโฆษณาชั้นนำหลายแห่ง (โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องจับสลากเจอลูกค้าสายอสังหาฯทุกที)...จนถูกครอบงำโดยจิตใต้สำนึก ให้ถีบตัวเองออกจากกรอบการทำงานแบบเดิมๆ เพื่อออกมาจุดประกายความคิดที่ถูกต้อง และนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ให้กับกลุ่มคนที่สนใจในธุรกิจอสังหาฯ

เว็บไซต์

เรฟเฟอเรนซ์ เกษตร ดิสทริค

นิว โคสต์ คูคต สเตชัน

ศุภาลัย เอสเซ้นส์ บางนา - สุวรรณภูมิ

“เราเชื่อว่าบ้านที่ดีที่สุด คือบ้านที่ทำให้รู้สึกคิด...

4 March, 2025

นิว เอปิค อโศก-พระราม 9

โครงการ NUE EPIC ASOK – RAMA 9 ตั้งอยู่บนถนนอโศก-ดิน...

6 January, 2025

นิว คอร์ คูคต สเตชัน

NUE Core Khu Khot Station เป็นคอนโดใหม่เพียงหนึ่งเดี...

20 December, 2024

ศุภาลัย แกรนด์ เอสเซ้นส์ อรุณอมรินทร์

ทำเลฝั่ง “ธนบุรี” ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง...

6 November, 2024

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง