“กลุ่มมโนธรรมรักษา”ขยายฐานปักหมุดสร้างอาณาจักรทำเลในทอน จ.ภูเก็ต ปลื้มหลังผนึกกลุ่มทุนจีนผุดคอนโดฯ-ดึงเชนดังบริหาร เศรษฐีรัสเซียแห่ซื้อเพียบ อนาคตตั้งเป้าปั้น “มินิลากูนา”จุดหมายปลายทางนักลงทุน-ท่องเที่ยว ประกาศแผน 2 ปี จ่อผุด 2 โครงการใหม่ รวมมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท
กลุ่ม “มโนธรรมรักษา”ปลื้มหลังขยายฐานปักหมุดสร้างอาณาจักร เป็นแลนด์ลอร์ดใหญ่ทำเลหาดในทอน จ.ภูเก็ต บนพื้นที่กว่า 80 ไร่ นำร่องผนึกกลุ่มทุนจีนผุดคอนโดฯ โลว์ไรส์ “ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน” พร้อมดึงเชน WYNDHAM เข้าบริหาร สร้างความเชื่อมั่น ผลเศรษฐีรัสเซียแห่ซื้อเพียบ ผลตอบแทนการลงทุนจูงใจ ระบุตลาดอสังหาฯภูเก็ตต้องพึ่งพาและได้รับการยอมรับจากเอเยนต์ จึงไปรอด ตั้งเป้าปั้นเป็น “มินิลากูนา” จุดหมายปลายทางนักลงทุน-ท่องเที่ยวในอนาคต กางแผน 2 ปี เตรียมผุดวิลล่า-คอนโดฯ มูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท มั่นใจทุกโครงการออกแบบ-ใช้วัสดุคุณภาพ-ก่อสร้างได้มาตรฐาน รองรับแผ่นดินไหวได้ถึง 7.7 แมกนิจูด
นายวีระวิทย์ มโนธรรมรักษา รองประธาน บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด เปิดเผย ถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ จังหวัดภูเก็ต ว่า จากข้อมูลของ แผนกวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส (ประเทศไทย)จำกัด พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 1/2568 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ภูเก็ต มีโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศเปิดขายใหม่มากกว่า 45 โครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 49,160 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียม ในจังหวัดภูเก็ตจะยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่อุปทานเปิดขายใหม่อาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 8,000 -10,000 ยูนิต เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่า 20,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง โดยทำเลย่านในทอน ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยพบว่าในช่วงก่อนหน้ามีโครงการบ้านพักตากอากาศระดับลักชัวรี่เปิดขายที่ระดับราคาขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งปัจจุบันอุปทานเหล่านี้ถูกซื้อขายจากกลุ่มกำลังซื้อระดับบนเป็นที่เรียบร้อยทุกยูนิต และทำเลแห่งนี้กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในกลุ่มของคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มองเห็นศักยภาพของพื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติและไม่หนาแน่นจนเกินไป หนึ่งในจุดเด่นของย่านในทอนคือ ยังไม่มีการแข่งขันด้านอสังหาฯสูงมากนัก โดยพบว่าปัจจุบันในพื้นที่ย่านในทอนมีอุปทานคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 2 โครงการ 820 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.18 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด และสำหรับบ้านพักตากอากาศพบว่า ปัจจุบันมีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 6 โครงการ 113 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.75 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด ซึ่งถือว่าน้อยเป็นอย่างมาก ทำให้ตลาดในพื้นที่นี้มีความน่าสนใจในด้านโอกาสการเติบโตในอนาคต รวมถึงความเป็นไปได้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในระยะกลางและระยะยาว
อีกทั้งย่านในทอนยังมีความได้เปรียบในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เป็นธรรมชาติ และเหมาะกับการอยู่อาศัยแบบพักผ่อนหรือการพัฒนาเป็นรีสอร์ตระดับพรีเมียม ใกล้กับสนามบินนานาชาติภูเก็ตและอยู่ไม่ไกลจากแหล่งอำนวยความสะดวกสำคัญเช่น สนามกอล์ฟหรู โรงแรมระดับห้าดาว และร้านอาหารชั้นนำ จากแนวโน้มดังกล่าว ย่านในทอนจึงถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็น “ดาวรุ่ง” ดวงใหม่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต ที่สามารถดึงดูดทั้งกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการปล่อยเช่าหรือเพิ่มมูลค่าในอนาคต
สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในย่านในทอน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือบ้านพักตากอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาวรัสเซียที่หนีภัยสงครามเข้ามาหาซื้อพูลวิลล่าในภูเก็ต นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนจากยุโรป สแกนดิเนียเวีย รัสเซีย จีน และอินเดียที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือที่อยู่อาศัยระยะยาว ซึ่งการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบLeasehold (เช่าระยะยาว 30 ปี) เป็นที่นิยมในกลุ่มนี้
ส่วนกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่ซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศในย่านในทอน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย บางรายอาจซื้อเพื่อการลงทุนหรือปล่อยเช่าในระยะยาว โดยรวมแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในย่านในทอนยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากทำเลที่ตั้งที่เงียบสงบและมีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต
ส่วนราคาที่ดินย่านในทอน พบว่าที่ดินพื้นที่เชิงเขา ที่ดินมีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 15-30 ล้านบาทต่อไร่ สำหรับที่ดินใกล้ชายหาดจะมีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 25-50 ล้านบาทต่อไร่
นายวีระวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบันตลาดอสังหาฯภูเก็ตจะมีการแข่งขันที่ดุเดือด จากการที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดกันมาก แต่ตนมองว่าไม่มีผลกระทบ เพราะทางคุณพ่อของตน คือ “นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา” ได้เห็นศักยภาพ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล จึงได้เข้ามาซื้อที่ดินย่านหาดในทอน เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยมีทั้งที่ดินที่ซื้อเองและเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี จนถึงปัจจุบันมีรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 ไร่ ทั้งนี้เพื่อเก็บเป็น ASSET PROPERTY ของครอบครัว ถือว่าเป็นแลนด์ลอร์ดที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในย่านหาดในทอน และเริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2562 ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐีรัสซีย และการได้รับการยอมรับจากเอเยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในภูเก็ต เพราะหลักการทำงานเอเยนต์ในภูเก็ต จะไม่สนใจในแบรนด์เล็ก หรือใหญ่ แต่สนใจในเรื่อง Profile ,สินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถการันตีผลตอบแทนการลงทุนให้ลูกค้าได้เป็นที่น่าพอใจ เพราะภาพรวมการขายอสังหาฯในจ.ภูเก็ต นั้น คือต้องพึ่งพาช่องทางการตลาดขายผ่านเอเยนต์ มากถึง 70% และบริษัทฯก็ประสบความสำเร็จในเรื่องดังกล่าว มีลูกค้าเข้าซื้อและใช้บริการโครงการอย่างต่อเนื่อง
โดยโครงการแรกที่พัฒนาในปี 2562 คือ อาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้น บริเวณด้านหน้าถนนติดชายหาดในทอน จำนวน 20 ยูนิต แบ่งเป็น 3 คลัสเตอร์ๆละ 7-8 ยูนิต ซึ่งเป็นการขายเช่าระยะยาว 30 ปี ในราคา 7-8 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนกว่า 100 ล้านบาท แต่ปัจจุบันได้ปรับแผนการพัฒนาใหม่ โดยปล่อยเช่าพื้นที่ชั้นล่างในแต่ละยูนิตเป็นร้านค้าต่างๆ ราคาประมาณ 30,000 บาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันมีผู้เช่าเต็มทั้งหมด ส่วนชั้น 2-3 ปล่อยเช่าเป็นโรงแรม ซึ่งมีใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 74 ห้อง ราคา 1,500-4,500 บาท/คืน แล้วแต่ช่วงฤดูกาล