Location Intelligence เครื่องมือวิเคราะห์ใหม่สำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ด้วยภาพ Satellite Imagery จากนอกโลก
ในปัจจุบันเรามีข้อมูลหลายช่องทางเพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อทำนายความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของลูกค้าทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ แต่สิ่งที่น่าสนใจใหม่ในตอนนี้ คือ เราสามารถมี “ข้อมูลจากนอกโลก” เพื่อนำมาวิเคราะห์และช่วยทำนายมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ได้ด้วย นั่นก็คือ Location Intelligence
Location Intelligence คืออะไร
“Location Intelligence” คือ อีกหนึ่งความสามารถของ Business Intelligence ที่ถูกนำมาใช้ในการจัดการและทำความเข้าใจข้อมูลที่ซับซ้อนผ่านการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเชิงพื้นที่
Location Intelligence ทำให้เกิด Big Data ทางภูมิศาสตร์ ด้วยการจัดการข้อมูล วิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยในการตัดสินใจในกลยุทธ์ทางธุรกิจ
ข้อมูลพวกนี้มาจากไหน?
เดิมทีในหลายๆ องค์กรมักรวบรวมข้อมูลจากทั้ง Geofencing เทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง เช่น GPS ร่วมกับไวไฟหรือบลูทูธ ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย ข้อมูลการแท็กตำแหน่งที่ตั้ง และอื่นๆ แต่วิธีนี้ต้องใช้การป้อนข้อมูลจากทั้งเจ้าของข้อมูลเอง จากทางสาธารณะ และบุคคลที่สาม ซึ่งต้องใช้การลงทุนลงแรงอยู่พอสมควร อีกหนึ่งวิธีที่จะได้ข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้ คือ ภาพถ่ายจากดาวเทียม (Satellite Imagery) ด้วยการจับภาพความละเอียดสูงจากนอกโลก สามารถให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำกว่า
กรณีศึกษาการใช้งาน Satellite Imagery
ตัวอย่างการนำเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้ ได้แก่ มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ค และ Connectivity Facebook Lab ของเขา ที่ได้ริเริ่มโครงการแจกจ่ายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้คนจำนวน 4.2 พันล้านคน ซึ่งการสำรวจความหนาแน่นของประชากรที่อยู่นอกเหนือไปจากโครงข่ายการเชื่อมต่อนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เฟซบุ๊คจึงเลือกลงทุนใน Geospatial Big Data และภาพถ่ายจากดาวเทียมคุณภาพสูงเพื่อทำการระบุความหนาแน่นของประชากรในชนบทของประเทศกำลังพัฒนา ต่อมาทางแลปเองถึงขั้นประยุกต์เอาอัลกอรึทึ่มที่ซับซ้อนมาใช้สร้างแผนที่ประชากรของทั้งโลก ตัวแผนที่ประชากร (Population Map) นี้สามารถระบุได้ว่าผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตควรติดตั้งสัญญาณเชื่อมต่อที่จุดไหน ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์เน็ตเวิร์ค ไวไฟฮอตสปอต โครงข่ายการสื่อสารที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีบอลลูนระดับสูง (High Altitude Balloons) หรืออากาศยานไร้คนขับ (UAVs) และเพื่อความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ทางทีมยังสามารถติดตามข้อมูลความเคลื่อนไหวล่าสุดจากการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนแผนที่ได้