วันนี้จะมาอัพเดตข่าวสนามบินใหม่ของโปแลนด์ให้ได้อ่านกันพร้อมๆกับการแนะนำให้รู้จัก บริษัท Foster+Partners ที่เป็นผู้สร้างสรรค์อาคารเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารเมื่อต้องรอเปลี่ยนเครื่อง(Airport Terminal)จำนวน 2 อาคารด้วยดีไซน์แปลกใหม่และขอย้ำว่าเป็นอาคารเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารที่ยูนิคมากๆในแบบที่คุณไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนแน่นอน เพราะ Forster and Partners มีชื่อเสียงเรื่องการออกแบบแนว Ecological Planning ที่ตั้งใจสร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสูงสุด สำหรับการออกแบบครั้งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากป่า Kampinos Forest ที่เป็นป่าใกล้เมืองวอร์ซอว์ให้กลายเป็นประสบการใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะทำให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง สนามบินแห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่า Solidarity Transport Hub (Central Port of Communication/Transport) หรือเรียกสั้นง่ายๆว่า CPK (Centralny Port Komunikacyjny) ที่เป็นชื่อย่อจากภาษา Polish

การออกแบบสนามบินใหญ่ครั้งนี้ด้วย X-shaped เพื่อเชื่อมต่อทั้ง 2 อาคารให้สมบูรณ์แบบโดยมีอาคารหลังที่ 2 เป็นอาคารหลัก ส่วนเว้าของ X-shaped จะกลายเป็นพื้นที่หลักของลานจอดเครื่องบินเพื่อเชื่อมต่อกับตัวอาคารทำให้สะดวกเวลามาต่อเครื่องต่อไปที่อื่นมากขึ้น เพิ่มเติมความเป็น “traditional Polish architecture” ด้วยการใส่รายละเอียดให้เหมือนโครงสร้างไม้เข้าไปเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ มีการแบ่งโซนอย่างชัดเจนเพื่อตอบโจทย์คนทุกรูปแบบแบ่งเป็น leisure, business, familiesและอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ปิดท้ายด้วยการบริการรถไฟ ตบท้ายด้วยเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนและการบริการถึงใจด้วยเทคโนโลยี hyperloop cargo vehicles ให้ผู้โดยสารไป-กลับเพื่อเชื่อมต่อกันกับทั้ง 2 อาคารที่วางแผนไว้อีกด้วย 

สำหรับส่วนอาคารอื่นของ Centralny Port Komunikacyjny  ได้ส่งต่อให้ Zaha Hadid Architects, Grimshaw Architects, Chapman Taylor, Benoyและ PASCALL+WATSON ช่วยกันดีไซน์ให้สนามบินใหม่ของโปแลนด์กลายเป็นสนามบินเพื่อความยั่งยืนเพื่อให้ได้ใช้ทรัพยากรอย่างเต็มเปี่ยม โดยทางโปแลนด์ต้องการให้ที่นี่เป็นฮับหลักที่จะเดินทางเชื่อมต่อโดยตรงไปยังเมืองวอร์ซอว์ (Warsaw) และวูช (Łódź) ในประเทศโปแลนด์ได้สบายๆ

Airport Terminal 

Airport Terminal 

(ภาพด้านบนทั้งหมดจาก cpk.pl/en/news/six-concepts-of-solidarity-transport-hub-poland-architects-unveil-their-visions-of-the-new-airport)

ภายในอาคารได้ปลูกต้นไม้ยืนต้นไว้หลายต้นเพื่อผลิตออกซิเจนในอาคารเพื่อรองรับผู้โดยสารหนาแน่นหรือช่วงเวลาที่ต้องรอเครื่องบินดีเลย์ ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้โดยสารได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่สดชื่นได้ตลอดเวลาเหมือนอยู่ในป่า Kampinos Forest สำหรับการออกแบบหลังคาโปร่งแสงแบบในภาพด้านล่างนี้ทำให้ได้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าให้สิ้นเปลือง โดยรวมแล้วเป็นการออกแบบเพื่อความยั่งยืนจริงๆเข้ากันกับเทรนด์ลดโลกร้อนที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้พอดี

Foster + Partners Group Limited บริษัทสถาป้ตยกรรมดีไซน์ดาวรุ่งที่ฮอตที่สุดแห่งยุค

Norman Foster

(ภาพจาก www.wsj.com/articles/architect-lord-norman-foster-on-good-design-and-collectible-cars-1406831606)

Foster + Partners Group Limited คือ กลุ่มบริษัทสถาปัตยกรรมดีไซน์ยักษ์ใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ลอนดอน ก่อตั้งโดยประธานบริษัท คุณนอร์แมน ฟอสเตอร์ ผู้บุกเบิกบริษัทตั้งแต่ปี 1967 ได้ก้าวผ่านมาสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างสง่างามพร้อมๆกับผู้ร่วมอุดมการณ์อีก 140 พาร์ทเนอร์ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา จุดมุ่งหมายและ Passionที่แฝงอยู่ในทุกการดีไซน์ คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการใช้ประโยชน์ของการออกแบบเข้ามาช่วยเพื่อวามยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสานต่อความตั้งใจนี้ให้เป็นจริงจึงสร้าง Norman Foster Foundation ขึ้นที่เมืองมาดริด ประเทศสเปน เพื่อช่วยเหลือหมุษย์ให้ได้มากที่สุด และยังได้รับพระราชทานยศจากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักรให้เป็น Lord Foster of Thames Bank เพื่อเป็นเกียติสูงสุดที่ทำประโยชน์ให้ชาติอีกด้วย

ตัวอย่างผลงงานที่โดดเด่น

– 30 St Mary Axe (2004 – London, UK)

30 St Mary Axe คือ หนึ่งในความภาคภูมิใจของ Foster+Partners ที่ได้สร้างอาคารสูงเพื่อระบบนิเวศ (Ecological/ Green building)แห่งแรกของลอนดอนที่ได้ใช้การออกแบบอาคารให้มีประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุดด้วยความสูง 180 เมตรและมีพื้นที่ทั้งหมด 64,469 ตร.ม.  นับพื้นที่ที่เป็นออฟฟิศทำงาน ร้านค้า และคาเฟ่ได้ 46,400 ตร.ม. สิ่งที่ทำให้ 30 St Mary Axe โดดเด่นในช่วงปลายยุค 20s อีกอย่างคือหน้าต่างที่มองได้แบบ 360 องศาหรือที่เรียกว่า “Panorama perspective”  ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลอนดอนทำให้เห็นวิวเมืองได้เกือบทั้งหมด อาคารถูกออกแบบไว้คล้ายทรงกระบอกที่สูง เพรียว บาง ดังนั้นเมื่อมองออกไปที่หน้าต่างจะให้เห็นทุกอย่างในมุมที่กว้างกว่ากระจกแบบแบนทั่วไปส่งผลให้ได้รับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ส่วนของโครงสร้างอาคารจะมีบางส่วนที่เป็นดีไซน์แบบไร้เสา(column-free floor space)เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวกขึ้นทำให้ประหยัดพลังงานไม่ต้องใช้แอร์คอนดิชั่นมากจนเกินความจำเป็น

ทีมออกแบบของ Foster+Partners: Grant Brooker, Ben Dobbin, Narinder Sagoo, Neil Vandersteen, Paul Kalkhoven, Francis Aish, Gamma Basra, Michael Gentz, Robert Harrison

รางวัลที่ได้รับ: LDSA Built in Quality Awards – Winner Innovation category, London Architectural Biennale Best Building Award, DETAIL Special Award for Steel, Dutch Steel Award – Category A, London Architecture Biennale – Best New London Building, The International Highrise Award – Honourable Mention, London Planning Awards, Best Built Project – 5 Years On, AR/MIPIM Future Project Prize – ‘Best of Show’ joint winner, Wallpaper 2004 Design Awards – Winner Best New View, Civic Trust Award, RIBA Stirling Prize, IAS/OAS Awards – Best Central London Development, RIBA Award, Emporis Skyscraper Award 2003, ECCS European Steel Design Award

ผู้ว่าจ้าง: Swiss Re

ก่อสร้างสำเร็จแล้วเมื่อปี 2004

ภาพด้านบนทั้งหมดจาก www.fosterandpartners.com/projects/30-st-mary-axe

2. Masdar City (2014 – Abu Dhabi, UAE)

เมืองที่ขึ้นชื่อว่า “one of the world’s most sustainable urban communities” ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่อาบูดาบี ออกแบบ อย่างยอดเยี่ยมโดยมีรางวัลมากมายเป็นเครื่องการันตีความเก๋าในการออกแบบ Public Community ที่ตอบโจทย์ lifestyle ความเป็น Masdar City ที่ทั้งทันสมัยที่มีจุดมุ่งหมายให้เป็นเมืองที่เน้นสร้างเพื่อความยั่งยืนทางพลังงานสะอาดจากธรรมชาติที่สุดจนได้เป็นต้นแบบและgreenprintของการพัฒนาเมืองให้ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน มีขนาดพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด 6,000,000 ตร.ม. 

ทีมออกแบบของ Forster and Partners: Gerard Evenden, Marilu Sicoli, Nikolai Malsch, Adam Newburn, Andrew King, Austin Relton, Bob Ramsden, Diane Teague, Gordon Seiles, Irene Gallou, Iwona Szwedo-Wilmot, Luis Matania, Martin Castle, Maximilian Zielinski, Muir Livingstone, Pedro Haberbosch, Simona Bencini

รางวัลที่ได้รับ: Cityscape Abu Dhabi – Sustainable Development Award, Global Renewable Energy Awards – Sustainable City of the Year, Condé Nast Traveller Innovation & Design Award (Sustainability), FT ArcelorMittal Boldness in Business Awards, Best Sustainable Development, Cityscape Abu Dhabi, Cityscape Real Estate Awards – Best Environmental Real Estate Project, AJ100 Sustainability Initiative of the Year 2008

Environmental Engineer: WSP Group , E.T.A

Quantity Surveyor: Cyril Sweet Limited

Landscape Architect: Gustafson Porter + Bowman

ผู้ว่าจ้าง: Masdar-Abu Dhabi Future Energy Company

สร้างเสร็จแล้วเมื่อปี 2014

(ภาพด้านบนทั้งหมดจาก www.fosterandpartners.com/projects/masdar-city)

3. LG SIGNATURE OLED TV R

ทีวีสไตล์มินิมอลที่ไม่เหมือนใครของ LG SIGNATURE OLED TV R ที่ปลดปล่อยอิสระของการออกแบบแนวใหม่ที่จะไม่บดบังการออกแบบ Interior ให้ไม่เกะกะสายตาและไม่จำเป็นต้องวงไว้ที่มุมห้องเหมือนทีวีรูปแบบเดิมอีกต่อไป ทาง Forster and Partners ออกแบบด้วยเทคนิค cutting-edge roll- บนจอพิเศษแบบ OLED screen technology ที่ทำให้จอทีวีไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปด้วยการเพิ่มลูกเล่นใหม่ให้จอทีวีด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้จอเลื่อนขึ้นเลื่อนลงได้ตามใจชอบที่สร้างความยืดหยุ่นให้ทีวีทำให้เกิด ”การออกแบบยืดหยุ่น (Flexible Spatial Planning/ Flexible Architecture)” ที่ยังไม่มีบริษัทไหนในโลกนี้เคยผลิตมาก่อนซึ่งก็ได้สร้างความฮือฮาไปทั่ววงการการออกแบบจนได้รับรางวัลในปีนี้ถึง 3 รางวัล

ผู้ออกแบบ: James White

รางวัลที่ได้รับในปี 2019: iF Design Award, IDEA Gold Award, Red Dot Award Product Design (Best of the Best)

ผู้ว่าจ้าง: LG

กำหนดการจัดทำเสร็จภายในปี 2019

ภาพทั้งหมดด้านบนจาก www.fosterandpartners.com/projects/lg-signature-oled-tv-r/

4. The Corniche (2019 – London, UK)   

The Corniche (เดอะ คอนีช) คือ อสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสที่มีเพนท์เฮ้าส์ที่ใหญ่ที่สุดที่เพิ่งจะเริ่มสร้างไปปีนี้ อาคารสูง 85 เมตร บนพื้นที่โดยรวมทั้งหมด 33,000 ตร.ม ใช้เป็นเพนท์เฮ้าส์บนพื้นที่ 6,000 ตร.ฟุต มี 3 ชั้น และชั้นดาดฟ้าส่วนตัว ลิฟท์ในล็อบบี้ส่วนตัว มีความสูง 15-27 ชั้น มีอพาร์ทเม้นท์รวม 253 ยูนิต รวมไปถึงออฟฟิศ ภัตคาร และ facilities อีกมากมายอย่างบาร์ ยิม สระว่ายน้ำ และสปา ซึ่งการออกแบบสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในนั้นออกแบบโดย Foster and Partners ที่เน้นการออกแบบด้วยดีไซน์โค้งเว้าของรูปทรงกระบอกที่ช่วยเสริมให้ได้เห็นวิวแม่น้ำเทมส์ที่ชัดเจนเมื่อมองผ่านระเบียงกระจกโค้งและเรียกการออกแบบนี้ว่า ‘cinemascope’ ที่ทำให้เห็นวิวนอกหน้าต่างในมุมที่กว้างขึ้นกว่ากระจกทั่วไป เห็นได้ทั้งวิวรัฐสภาอังกฤษและวิวแม่น้ำ  ตั้งอยู่บริเวนริมฝั่งทางใต้ของแม่น้ำเทมส์ที่เรียกว่า Albert Embankment ซึ่งจัดเป็นทำเลและวิวที่ดีที่สุดในเมืองลอนดอนที่เป็นเมืองหลวงของอังกฤษ อีกทั้งยังอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐสภาอังกฤษ (Houses of Parliament) ยิ่งไปกว่านั้นมีการปรับปรุงเพิ่มขนาดความกว้างของ Nine Elms development zone ให้เป็น 195 เฮกเตอร์ระหว่างสะพานแลมเบิร์ธ (Lambeth Bridge) และสะพานเชลซี (Chelsea Bridge) ที่ทำให้เพิ่มบ้านใหม่ได้อีก 16,000 หลังและนั่นหมายถึงอาณาเขตที่อยู่อาศัยในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

ผู้ออกแบบ: Dan Sibert

ผู้ว่าจ้าง: St James Group Ltd

กำหนดการสร้างเสร็จภายในปี 2019

The Corniche (ภาพจาก www.fosterandpartners.com/projects/the-corniche/)

St James, The Corniche, The Penthouse, Terrace (ภาพจาก www.berkeleygroup.co.uk/developments/london/albert-embankment/the-corniche)

St James, The Corniche, The Penthouse, Kitchen (ภาพจาก www.berkeleygroup.co.uk/developments/london/albert-embankment/the-corniche)

St James, The Corniche, The Penthouse, Mezzanine (ภาพจาก www.berkeleygroup.co.uk/developments/london/albert-embankment/the-corniche)

St James, The Corniche, The Penthouse, Reception Hall (www.berkeleygroup.co.uk/developments/london/albert-embankment/the-corniche)

Resources

www.fosterandpartners.com

www.cpk.pl/en

www.berkeleygroup.co.uk

www.masdar.ae