เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญอย่างไรในการสร้างฐานลูกค้าของแบรนด์หรู
เหล่าผู้ประกอบการแบรนด์หรูกำลังทำการผลักดันการใช้งานที่มีขีดจำกัดของนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัยที่จะช่วยด้านการลดต้นทุน ปรับปรุงประสิทธิภาพ และยกระดับความพอใจของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ รูปภาพ: Shutterstock
ประเด็นสำคัญ :
– Burberry มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการระบุสินค้าที่ถูกปลอมแปลงและลอกเลียนแบบ
– Prada ใช้การแก้ปัญหาด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่มีความซับซ้อนเพื่อสนับสนุนการทำงานทางด้านการตลาดและมอบประสบการณ์ที่คุ้มค่าและสมบูรณ์แบบให้แก่ผู้ซื้อ
– Alibaba ใชระบบการเรียนรู้ทางคอมพิวเตอร์และระบบ AI ในการทำการตลาดที่เน้นลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง
การใช้อุปกรณ์ล้ำสมัยเพื่อช่วยการลดค่าใช้จ่าย ปรับปรุงประสิทธิภาพ และยกระดับความพอใจของลูกค้าได้กลายเป็นเรื่องปกติในการทำธุรกิจไปแล้ว แต่ยังมีผู้ประกอบการสินค้าแบรนด์หรูบางรายที่ยังต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดของนวัตกรรมด้วยการส่งเสริมการใช้งานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ยกตัวอย่างเช่น ระบบการเรียนรู้ทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการแบรนด์หรูได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลผู้บริโภคของตนได้อย่างปลอดภัยและยังสามารถที่จะปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย
ระบบ Edge AI นั้นสามารถทำงานภายในอุปกรณ์มือถือของผู้ซื้อแต่ละรายโดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องทำการถ่ายโอนข้อมูลใดๆของลูกค้าเลย อ้างอิงจาก Globe Newswire และ Luxury Institute “ ความได้เปรียบทางด้านปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว ข้อมูลส่วนบุคคลและต้นทุน เปรียบเทียบกับ ระบบ Cloud AI จึงทำให้ระบบ Edge AI นั้นมีประสิทธิภาพที่เหมาะสมที่สุดในการให้บริการแก่ลูกค้าที่มีความมั่งคั่งซึ่งมีความต้องการที่จะได้รับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยที่สูงเมื่อพวกเขาจะทำการตัดสินใจซื้อของหรือสินค้าที่มีมูลค่าสูง ความเสี่ยงสูง การลงทุนสูงและมีการใช้อารมณ์การตัดสินใจที่สูงเช่นกัน” อ้างอิงจากการแถลงข่าวของ Luxury Institude
ในขณะที่ Burberry, ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในการนำเทคโนโลยีแบบใหม่ๆเข้ามาใช้นั้น ก็ได้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการระบุตรวจจับผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบต่างๆ ผู้ประกอบการแบรนด์หรูของอังกฤษใช้เทคโนโลยีการจดจำรูปภาพที่ช่วยส่งเสริมการใช้งาน AI ของ Entrupy ซึ่งสามารถประเมินได้ว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม ซึ่งต้องขอบคุณการวิเคราะห์แยกแยะแบบขั้นสูงนี้จริงๆ นอกจากนี้ Burberry ยังใช้การวิเคราะห์ต่างๆผ่านระบบ AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ความพึงพอใจของลูกค้าและอำนวยความสะดวกในการทำความเข้าใจลูกค้าแต่ละรายได้อย่างลึกซึ้ง
ยังมีอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ Burberry นำมาใช้คือ Radio Frequency Identification (RFID) ที่ใช้สำหรับการจัดการสินค้าคงคลัง ซึ่งระบบ RFID จะสามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นภาพรวมและช่วยให้แบรนด์ต่างๆติดตามความพร้อมในสต๊อกและสามารภปรับปรุงประสิทธิภาพของคลังสินค้าได้ ในระยะยาว ระบบ RFID นี้จะมีความคุ้มค่ามากกว่าระบบบาร์โค้ดทั่วไป ถึงแม้ว่าตัวระบบและฮาร์ดแวร์จะมีราคาที่ค่อนข้างสูงก็ตาม
Prada ใช้การแก้ปัญหาต่างๆโดยปัญญาประดิษฐ์ที่ซับซ้อนเพื่อปรังปรุงเส้นทางการเข้าถึงของลูกค้าและรับรู้ถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อต่างๆ แบรนด์หรูสัญชาติอิตาลี่นี้ได้นำแนวทางการแก้ปัญหาของระบบ Adobe Experience Cloud มาใช้เพื่อสนับสนุนความพยายามทางการตลาดและส่งมอบและปรับแต่งประสบการณ์ที่คุ้มค่าให้แก่ผู้ซื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ทางแบรนด์ Prada เองยังมีการร่วมมือกับเจ้าของแฟลตฟอร์มการจัดการประสบการณ์ลูกค้าอย่าง Sprinkler ในการดึงดูดผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่บนโลกดิจิทัลและได้สร้างกรอบการทำงานสำหรับที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมดิจิทัลเป็นหลัก
ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Alibaba ก็ใช้ระบบการเรียนรู้ทางคอมพิวเตอร์และ AI ในการทำการตลาดที่มีการเน้นกลุ่มลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง ผู้ช่วยเสมือนจริงทางแชทบ็อตมีอุปกรณ์ที่ครบครันในการช่วยเหลือด้านการสนทนาที่ชาญฉลาด ช่วยตอบคำถามความต้องการของลูกค้า และปรับเปลี่ยนไปตามระดับของความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลเพื่อเพิ่มยอดขายและภาพรวมโดยทั่วไป นอกจากนี้ Alibaba ยังมีการร่วมมือกับ Guess เพื่อเปิดตัวร้านค้าระบบ AI แบบเต็มรูปแบบในฮ่องกงที่ลูกค้าสามารถที่จะทำการเช็คอินผ่านระบบ QR โค๊ดส่วนตัวของ Taobao หรือระบบการจดจำใบหน้า อีกทั้งทางร้านเองยังมีการให้บริการกระจกอัฉริยะที่สามารถให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้ กระจก “อัฉริยะ” เหล่านี้สามารถพิจารณาจากการซื้อครั้งก่อนหน้าของลูกค้าและสามารถกำหนดลักษณะสไตล์ตามการให้งานของลูกค้าได้