ญี่ปุ่นประเทศในฝันของใครหลายๆคน ตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลงไหลในเสน่ห์ดินแดนอาทิตย์อุทัย ถึงขนาดที่ต้องไปญี่ปุ่นปีละ 2 ครั้ง ครั้งนึงไม่มีน้อยกว่า 10 วัน โดยในอนาคตความฝันที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของผมนั้น คือการได้ซื้อคอนโดที่ญี่ปุ่นเป็นของตัวเองซักห้อง

คอนโดญี่ปุ่นแพงมากจริงหรือไม่ ?

หลายคนอาจเคยได้ยินมาว่า อสังหาริมทรัพย์ที่ญี่ปุ่นมีราคาสูงมากติดอันดับโลก เช่นเดียวกับค่าครองชีพที่สูงลิบ  ตอนแรกผมเองก็คิดเช่นนั้น แต่พอได้รู้ข้อมูลจริง ราคาขายจริง ของคอนโดโปรเจกใหม่ที่จะสร้างแล้วเสร็จปลายปีนี้ ที่ทำเลเกรด A ของโอซาก้า ผมถึงกับติดสตั๊นท์ ตัวสั่นสะท้าน

สตั๊นท์แรกคือ ราคาถือว่าถูกกว่าที่คิด (ไม่ถึงสองแสนบาทต่อตารางเมตร) สตั๊นท์ที่สองคือ ราคาคอนโดที่เมืองไทยหลายๆตัวแพงกว่าซะอีก ล่าสุดบางตัวเกิน 6 แสนบาทต่อตารางเมตรเรียบร้อย ถ้าจะว่าไประดับราคา 2 แสนบาทต่อตารางเมตรของคอนโดในไทยถือว่า ไม่แพงในยุคนี้สมัยนี้  ซื้อคอนโดใหม่ๆในทำเล สีลม หรือ mid sukhumvit ไม่ได้ด้วยซ้ำ

OSAKA เมืองใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น หัวเมืองของแถบคันไซ ที่มีความเจริญไม่แพ้โตเกียวแต่อย่างใด คอนโดในบทความนี้ชื่อว่า City Tower Umeda Higashi อยู่ในย่าน Umeda ย่านศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดของโอซาก้า ถ้าจะเทียบกับกรุงเทพ ก็เปรียบได้ดั่งทำเลแยกเพลินจิตกันเลยทีเดียว

ที่ตั้งของโปรเจกอยู่ห่างจากศูนย์ กลางของ UMEDA ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานี UMEDA / JR OSAKA เพียงประมาณ 1.3 กิโลเมตร  ถือว่าใกล้สำหรับประเทศญี่ปุ่น ที่บริเวณในรัศมีรอบๆสถานีจะเป็น ออฟฟิศทาวเวอร์ ห้าง โรงแรม ซะมากกกว่า ตัวคอนโดอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน T19 nakazakicho  เพียง 360 เมตร เชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็น Shinsaibashi Namba แหล่งท่องเที่ยว shopping ยอดนิยมของคนไทยหรือ Tennoji ย่านสำคัญอีกแห่งของเมืองนี้

ทำเลถือว่าดีมากเลยนะครับ

มาดูตัวคอนโดกันดีกว่า ว่าไม่ถึง 200K ต่อตารางเมตร ในทำเลแบบนี้ได้โปรดักส์แบบไหน

CITY TOWER UMEDA HIGASHI เป็นคอนโดร่วมทุนระหว่าง Sumitomo ดีเวลลอปเปอร์ Top 3 ของญี่ปุ่น กับ Panasonic Home บริษัทในเครือยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลก

คอนโดสูง 44 ชั้น 501 ยูนิต มีความสูงประมาณ 146 เมตร  มีขนาดตั้งแต่ 60 ตารางเมตรขึ้นไป จนถึง 104 ตารางเมตร

Common area, Facility

จัดหนักโดดเด่นด้วย Sky Lounge ขนาดใหญ่แบบ Double volume พร้อม Sky atrium เปิดโล่งไว้สูดอากาศและชมท้องฟ้าสวยๆ ที่ชั้น 42

สวนขนาดใหญ่มาก ที่มีการออกแบบ landscape อย่างสวยงามพิถีพิถันที่ชั้น 1  แบ่งโซนเป็น West patio , Abundant garden , East patio และ Vista garden

Lobby ต้อนรับขนาดใหญ่พร้อม พนักงาน Conceige

Fitness room

Party room

และที่แตกต่างจากคอนโดที่ไทยอย่างมาก คือมี Guestroom ห้องพักพิเศษสำหรับแขกของเจ้าของร่วมไว้เช่าพักอาศัยชั่วคราวแทนการไปเช่าโรงแรม จำนวน 3 ห้อง จะได้ใกล้ชิดกับเจ้าของห้องแต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องมาพักอาศัยในยูนิต

ที่จอดรถจักรยาน ที่จอดรถพร้อมตู้ชาร์จไฟสำหรับรถไฟฟ้า นวัตกรรมแห่งอนาคต

พื้นที่โถงลิฟท์ โถงทางเดินตกแต่งมาตรฐานโรงแรมญี่ปุ่น ชนิดที่คอนโดเมืองไทยแม้จะระดับราคาสูงขนาดไหนก็สู้ไม่ได้ ของไทยทำไมมีแต่ฉาบปูนทาสี ธรรมดาๆก็ไม่รู้เน๊อะครับ

ภายในยูนิตที่พักอาศัย

เกินมาตรฐานตั้งแต่ประตูเข้าห้องด้วย protection หลายชั้น แม้จะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงแล้วก็ตาม

ห้องพักมีขนาดกว้างอยู่ได้จริง เปิดวิวโล่งด้วยหน้าต่างบานใหญ่เกือบ floor to ceiling แถมถ้าเป็น corner unit จะได้กระจกบานใหญ่เข้ามุมสุดอลังงงง เพดานสูง 2.60 เมตร (เทียบเท่าระดับคอนโดเกรด กลางบน ของไทย)

พื้นมีระบบปรับอุณหภูมิให้อุ่นเท้าไม่เย็น กระจกหน้าต่างที่ใช้เป็นแบบ Low-e กระจกสองชั้นมีช่องว่างตรงกลาง กันเสียงเป็นฉนวนกันร้อนกันหนาว

Spec ห้องเว่อร์มาก ทั้งตู้เสื้อผ้า ชุดครัว ชุดสุขภัณฑ์  ผมชอบอ่างอาบน้ำแบบ automatic ของที่นี่มากครับควบคุมด้วยแผงคอนโทรล ตัดน้ำปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ ฝักบัวฝังผนังพ่นไอน้ำอุ่นก็น่าใช้

แน่นอนครับมีระบบ TV และ Internet เดินไว้รองรับการใช้งานอยู่แล้ว สมกับเป็นประเทศสุดไฮเทค

ที่ชอบอีกอย่างคือที่นี่ชูจุดขายว่าเก็บขยะทั้งวันทุกวันไม่มีวันหยุด เพื่อสุขอนามัยของผู้พักอาศัย

แถมยังมีระบบ keycard access แบบไม่ต้องสัมผัส มือถือของทั้งสองข้างก็ไม่ต้องลำบากล้วงไปหยิบคีย์การ์ดมาแตะประตู  วู้วววววชีวิตในฝัน

การก่อสร้างใช้วิศวกรรมชั้นสูงกันแผ่นดินไหวได้ในระดับมาตรฐานวิศวกรรมญี่ปุ่น

มาดูราคาขายกันนะครับ ปัจจุบันราคาห้องที่เหลือขายแบบ 2 ห้องนอน 60.7 ตารางเมตร ที่ชั้น 10 อยู่ที่ 44 ล้านเยน คิดเป็นเงินไทยได้ประมาณ 13.2 ล้านบาท   แต่ช้าก่อน!!!! การคิดพื้นที่แบบญี่ปุ่นจะไม่เอาส่วนระเบียงมาคำนวน ดังนั้นพื้นที่ใช้สอยจริงจะอยู่ที่ประมาณ 68 ตารางเมตร เมื่อหารราคาต่อตารางเมตรออกมาจะเท่ากับ 194,000 บาท ต่อตารางเมตร เท่านั้น ถูกกว่าคอนโดใหม่ๆที่เปิดตัวในทำเลพรีเมี่ยมของไทยเกือบทุกตัว เลยนะครับ  (BEATNIQ ขายที่ประมาณ 250,000 บาท ต่อตารางเมตร, Noble Be 33 ประมาณ 220,000 บาท ต่อ ตารางเมตร, The Line ราชเทวี 260,000 บาท ต่อตารางเมตร)

“ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ พร้อมเข้าอยู่ต้นปีหน้า 2017″

ถ้าใครสนใจคอนโดตัวนี้ หรือคอนโดญี่ปุ่นอื่นๆของ Sumitomo หรือสนใจอยากได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อคอนโดที่ญี่ปุ่น ภาษีที่ต้องจ่ายต่อปีมีอะไรบ้าง เงื่อนไขการซื้อเป็นอย่างไร  ขอเชิญให้เข้าฟังสัมนาที่จัดโดย Sumitomo บริษัทแม่จากญี่ปุ่นเองโดยตรงเลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด งานจัดขึ้นที่โรงแรมหรูในกรุงเทพ ลงทะเบียนได้ตามรายละเอียดด้านล่างครับ http://sumitomo-rd.in.th/