Real Estate in Quantum Era 2035 อีกสิบปีข้างหน้า… อสังหาฯ จะเปลี่ยนไปแค่ไหน
บทความนี้ Propholic.com จะพาข้ามไปอนาคตว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกอสังหาฯ บ้าง เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นต่างประเทศก่อนแล้วค่อยมาที่ไทยก็เป็นไปได้ ลองอ่านเพื่อความบันเทิงและถ้าคิดว่าข้อไหนเป็นประโยชน์ก็ลองเอาไปปรับใช้และรับมือกับอนาคตที่เทคโนโลยีจะเติบโตมากกว่าที่เราเห็นในปัจจุบัน
1. ปี 2035 วันที่บ้านมีสมองและเมืองมีจิตวิญญาณ
ในปี 2035 โลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่มนุษย์กับเทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งแยกจากกันอีกต่อไป เมื่อ AI และ Quantum Computer ผสานเข้ากับโครงสร้างของเมือง จนระบบเศรษฐกิจทั้งหมดเปลี่ยนจากสิ่งปลูกสร้างไปเป็น “สิ่งมีชีวิตทางข้อมูล (Data Organism)” เราจะเห็นอาคารที่เริ่มคิดได้ เมืองที่เริ่มเข้าใจเรา และข้อมูลพลังงานกลายเป็น currency เป็นเงินตรารูปแบบใหม่ สิ่งที่เราเห็นในวันนี้จึงเป็นเพียงต้นแบบของโลกที่กำลังมาถึง โลกที่บ้านไม่เพียงให้ที่พัก แต่เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับผู้อยู่อาศัย คงเป็นอะไรที่น่าทึ่ง
สิ่งที่เราจะเจอในช่วงเริ่มต้นของยุคนี้ คือ “บ้านและที่ดิน” จะไม่ใช่สมบัตินิ่งๆ อีกต่อไป มูลค่าจะผันผวนตามข้อมูลจริงแบบ Dynamic Pricing เช่น การใช้พลังงาน ค่าคะแนนสิ่งแวดล้อม ความสะอาดของอากาศ การปล่อยคาร์บอน และคุณภาพชีวิตโดยรอบ เพราะทุกอย่างวัดได้หมด
สินทรัพย์ที่เราควรเตรียมให้ลูกหลานไม่ใช่แค่ทรัพย์สินอย่างแปลงที่ดิน แต่คือ PropTech Literacy ความรู้ความเข้าใจในการจัดการข้อมูลอสังหาฯ และทักษะเข้าใจระบบพลังงานของบ้าน พลังงานนี้ไม่ได้หมายถึงแค่พลังงานไฟฟ้าแต่หมายถึงทุกๆ อย่างที่สังคมโลกในอนาคตจะกำหนดว่าอะไรบ้างที่จะถูกนำมาคำนวณเป็นพลังงาน เพราะบ้านในอนาคตจะต้องเชื่อมต่อกับโครงข่ายข้อมูลเมือง และใครที่เข้าใจระบบนี้ก่อน คนนั้นจะได้เปรียบในการใช้ชีวิต
2. ยุคที่เมืองเริ่มเรียนรู้เองได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์
ในช่วงปี 2025–2030 โลกอสังหาริมทรัพย์เริ่มแปลงร่างจากกายภาพสู่ดิจิทัล เช่น ปัจจุบันเว็บไซต์โพสต์ประกาศอสังหา เราก็เห็นแล้วว่ามูลค่าอสังหาเริ่มทำนายได้จาก big data ในอินเทอร์เน็ต , เราเริ่มเห็นทิศทางของข้อมูล open data ของภาครัฐแสดงว่าย่านไหนจะมีการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น ดังนั้นอนาคตเมืองใหญ่ๆ จะเริ่มมี “ร่างจำลองเสมือนจริง” หรือ Digital Twin City ที่ทำให้เราสามารถดูการเติบโตของเมืองได้แบบจำลองสามมิติ การสร้างอาคารไม่ใช่เพียงเรื่องของสถาปัตยกรรมอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการจำลองระบบเศรษฐกิจ พลังงาน และจิตวิทยาคนเมืองก่อนลงมือสร้างจริง
สิ่งที่เราจะเจอในอนาคตคือ บ้านและคอนโดหรือที่อยู่อาศัยแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่พักอาศัยรุ่นใหม่จะถูกออกแบบโดย AI ที่เข้าใจพฤติกรรมผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ก่อนเข้าอยู่ บางแห่งมีระบบวิเคราะห์สุขภาพผู้อยู่อาศัย บางแห่งวัดอารมณ์เพื่อปรับแสงและเสียงอัตโนมัติ
สิ่งที่ควรเตรียมให้รุ่นลูกหลานจึงไม่ใช่เพียงมรดกทางทรัพย์สิน แต่คือ Digital Autonomy ทักษะรู้เท่าทันเทคโนโลยีในบ้าน เช่น การควบคุมระบบอัตโนมัติ การอ่านค่าพลังงาน และการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวไม่ให้รั่วไหล เพราะบ้านในอนาคตจะเป็นศูนย์รวมข้อมูลชีวิต และใครที่ไม่รู้จักดูแลข้อมูลตนเอง อาจเสียสิทธิ์ในการครอบครองได้
3. การมาถึงของ Quantum Computer ทำให้ออกแบบเมืองได้ละเอียดกว่าฝัน
ควอนตัมคอมพิวเตอร์ อธิบายสั้นๆ คือคอมพิวเตอร์ที่มีการคำนวณที่สูงกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมหาศาลจนทำให้โจทย์ที่แก้ไขยากและใช้เวลานานกลายเป็นง่ายและรวดเร็วไวมาก เทคโนโลยีจะสร้างผลกระทบทั้งทางที่ดีและท้าทายหลายอย่างไปพร้อมกัน และแน่นอนกระทบกับชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆ แน่นอน อย่างน้อยก็ด้านการเงินในบัญชีของเราที่จะได้รับผลกระทบจากการอัปเกรด Banking Security เพื่อหนีให้พ้นศักยภาพการถอดรหัสของควอนตัมคอมพิวเตอร์
เมื่อเทคโนโลยีควอนตัมเริ่มใช้งานจริงในช่วงปี 2035 (ตัวแทนจาก IBM เคยคาดการณ์ปีดังกล่าวไว้) เมืองทั่วโลกเริ่มสามารถจำลองการเติบโตของตนเองในระดับอะตอม ระบบ Quantum Urban Simulator วิเคราะห์ได้แม้กระทั่งว่า อาคารสูงขนาดไหนจะทำให้ลมหมุนดีขึ้น หรือวัสดุแบบใดปล่อยคาร์บอนน้อยที่สุด เมืองที่ออกแบบด้วยข้อมูลละเอียดระดับนี้จะ “สมดุล (Harmony)” ทั้งพลังงาน สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกแปรค่าเป็น ค่า Urban Harmony Index (UHI) เอาไว้วัดระดับว่าทำเลไหนดีหรือแย่
นิยามคำว่าทำเลที่ดีในอนาคตจะเปลี่ยนไป บางที “ทำเลดี” อาจจะเปลี่ยนความหมายเป็นทำเลที่มี Urban Harmony Index มีค่าความสมดุลเมืองสูง ถ้าจะให้มองทำเลที่ใกล้เคียงกับอุดมคติความสมดุลเมืองสูงที่มองเห็นได้ชัดในปัจจุบันอาจจะเป็นโครงการ Forestias เพราะออกแบบให้มีความสมดุลทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ผู้คนสังคม และเศรษฐกิจ




