ถึงเวลาหรือยังที่ทุกคนในคอนโดจะทำ “แผนฉุกเฉิน” ร่วมกัน?
ในชีวิตของคนอยู่คอนโด เรามักคิดว่าความปลอดภัยเป็นเรื่องที่คนอื่นต้องจัดการ ไม่ว่าจะเป็นทีมนิติบุคคลบ้าง คณะกรรมการบ้าง หรือเจ้าหน้าที่อาคาร แต่ความจริงแล้ว ถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา เช่น ไฟไหม้ แผ่นดินไหว หรือแม้แต่น้ำท่วมกะทันหัน ไม่มีใครรอดได้ด้วย “ระบบเอกสาร” หรือ “ป้ายหนีไฟ” เพียงอย่างเดียวเลย
https://www.pexels.com/photo/door-with-exit-signs-15513838/
เหตุการณ์ไฟไหม้คอนโดแถวฝั่งธนย่านปิ่นเกล้าที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน มันสะท้อนให้เห็นว่าการมีระบบความปลอดภัยแต่ไม่มีการตรวจสอบ หรือมีแผนแต่ไม่เคยซ้อม ก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีเลย หลายคนรู้ดีว่ามีสปริงเกอร์ แต่ไม่รู้ว่าใช้งานได้หรือไม่ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางหนีไฟอยู่ตรงไหน หรือจุดรวมพลอยู่ที่ใด ที่สำคัญคือ ตอนเกิดเหตุจริงไม่มีใครสื่อสารได้ทัน เพราะไม่มีระบบการติดต่อที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
คำถามสำคัญมันถึงเวลาหรือยังที่เราจะมี “แผนฉุกเฉิน” ที่ทำได้จริง ไม่ใช่แค่แผนที่อยู่ในกระดาษ?
ถ้าอยากเริ่มต้นวางระบบความปลอดภัยในคอนโดให้จริงจัง นี่คือแนวทางง่าย ๆ ที่ทุกคณะทำงานและผู้อยู่อาศัยต้องร่วมกันทำ อย่าปล่อยให้เป็นแค่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะทุกคนต้องร่วมรับผิดชอบด้วยกัน
1. ตรวจสอบระบบอุปกรณ์ความปลอดภัยเป็นประจำ
สปริงเกอร์ เครื่องตรวจจับควัน ถังดับเพลิง และสัญญาณเตือนภัย ควรถูกตรวจเช็กทุก 6 เดือน และควรมีใบรายงานผลการตรวจติดไว้ในที่สาธารณะ เช่น หน้าลิฟต์หรือโถงทางเดิน เพื่อให้ลูกบ้านเห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้ “ยังมีชีวิตอยู่” และพร้อมใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ติดไว้ให้ครบตามกฎหมาย
2. จัดซ้อมแผนฉุกเฉินจริงอย่างน้อยปีละ 1–2 ครั้ง
อย่าคิดว่ามันเสียเวลา เพราะในวันที่ไฟไหม้จริง ไม่มีใครมีเวลามานั่งอ่านคู่มือการหนีไฟ ทุกคนต้อง “เคยทำมาก่อน” ถึงจะรอดได้จริง การซ้อมควรครอบคลุมทั้งการหนีออกจากห้อง การรวมพล การช่วยเหลือผู้สูงอายุหรือผู้พิการ และการติดต่อเจ้าหน้าที่
ลูกบ้านอย่ามองข้ามความปลอดภัย เพราะถ้าตายขึ้นมาผลเสียมักเกินกว่าที่คาดไว้ อย่าละเลยสัญญาณไฟไหม้ อย่าคิดว่าเป็นสัญญาณเสียสัญญาณหลอก ให้ alert ตื่นตัวอยู่เสมอ หากเกิดสัญญาณหลอกก็ต้องมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการทำงานของคณะกรรมการและนิติบุคคลคอนโดว่าเหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์แบบนั้นเพื่อการปรับปรุงแก้ไข
3. ตั้งระบบการสื่อสารในภาวะฉุกเฉิน
ไม่ว่าจะเป็นไลน์กลุ่มเฉพาะกิจ ระบบแจ้งเตือนในแอป หรือแม้แต่การใช้เสียงตามสาย ควรมีช่องทางที่ทุกคนรู้และเข้าถึงได้ทันที เพราะในสถานการณ์จริง ความช้าเพียงไม่กี่นาทีอาจหมายถึงชีวิต นิติบุคคลควรมีเบอร์ฉุกเฉินติดไว้ในจุดสำคัญทุกชั้น และทดสอบการใช้งานเป็นระยะ
4. สร้างจิตสำนึกร่วมของคนในคอนโด
ความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของนิติอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของทุกคนที่อยู่ใต้หลังคาเดียวกัน ควรมีการอบรมหรือเวิร์กช็อปสั้น ๆ ให้ลูกบ้านรู้จักอุปกรณ์ดับเพลิงเบื้องต้น วิธีใช้ถังดับเพลิง หรือการอพยพที่ถูกต้อง เพื่อให้ทุกคนกลายเป็น “ทีมเดียวกัน” ยามเกิดเหตุ
5. สื่อสารอย่างโปร่งใสหลังเหตุการณ์
หลังผ่านเหตุฉุกเฉิน ควรมีการรายงานผลอย่างตรงไปตรงมา ทั้งความเสียหาย การแก้ไข และแนวทางปรับปรุง เพื่อให้ทุกคนเห็นว่า คณะกรรมการและนิติบุคคล “เรียนรู้และพัฒนา” ไม่ใช่แค่ปิดข่าวหรือโยนความผิดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง