Self-Development Contribution Tax ปัญหาเดอะแบกของบ้านจะหมดไปด้วยแนวคิดภาษีชนิดใหม่เพื่อแก้ปัญหาสังคม
https://unsplash.com/photos/person-holding-paper-near-pen-and-calculator-xoU52jUVUXA
ในบ้านหนึ่งหลังมักมี “เดอะแบก” หรือคนที่ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู ดูแลค่าใช้จ่าย และความเป็นอยู่ของสมาชิกทั้งครอบครัว
บ่อยครั้งผู้แบกนี้อาจเป็นหัวหน้าครอบครัว คนที่ทำงานหนักครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้คน อื่นกินอิ่มนอนอุ่น ทั้งในเมืองและชนบท
ภาระนี้มีผลกระทบหลายด้าน เช่น ด้านสังคม คนที่แบกภาระทั้งชีวิตอาจซึมเศร้า เครียด กังวลความสัมพันธ์ครอบครัว ผู้ที่เป็นเดอะแบกอาจไม่มีเวลาของตัวเอง ขาดความสุข หรือโอกาสในการพัฒนาตัวเองเพราะมัวแต่ต้องแบกสมาชิกในครอบครัว
ปัญหาด้านการเงินครอบครัว เช่น สัดส่วนรายได้ที่จะเหลือหลังหักภาระครอบครัวอาจจะต่ำมาก การออมหรือการลงทุนอนาคตด้านสุขภาพ การศึกษาของตนเองหรือบุตรมักถูกละเลย
ด้านโอกาสของชีวิต หากผู้เป็นเดอะแบกไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา ขาดการฝึกทักษะ ไม่ได้รับการพัฒนา จะยิ่งทำให้ วงจรเดอะแบกไม่มีสิ้นสุด ยิ่งไม่มีโอกาสพัฒนา กลายเป็นภาระต่อเนื่อง ไม่มีวันจบและส่งต่อภาระสู่คนรุ่นถัดไป
เพื่อตัดวงจรร้าย สิ่งที่รัฐต้องทำคือทำยังไงก็ได้ให้ทุกคนที่ยังมีความสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายขั้นต่ำคือการสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ (Self-sufficient)
ดังนั้นจึงมีการนำเสนอแนวคิดภาษีชนิดใหม่ ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาสังคมนี้ (ยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่กำลังรอพรรคการเมืองที่ถือครองเสียงคนชนชั้นกลางเสนอในรัฐสภา) นั่นคือเรื่อง “ภาษีเสริมสร้างตนเอง” (Self-Development Contribution Tax) เป็นไอเดียที่เสนอขึ้นมาเพื่อกระตุ้นให้คนในวัยทำงานของไทยไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะในด้านรายได้หรือทักษะชีวิต
แนวคิดภาษีเสริมสร้างตนเองนี้มองว่า แม้ในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (individual tax) จะเก็บจากคนที่มีรายได้เป็นหลัก แต่ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในวัยทำงานแต่ไม่มีรายได้หรือยังไม่พัฒนาตนเอง จนกลายเป็นภาระของสังคมโดยไม่ได้ตั้งใจ รัฐจึงควรสร้าง “กลไกลดช่องว่าง” ผ่านระบบภาษีรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “ภาษีเสริมสร้างตนเอง” ซึ่งเป็นทั้งแรงจูงใจและโอกาสที่จะทำให้ทุกคนไม่เป็นภาระให้แก่กันและกัน
Fact จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO)
สังคมไทยมีสถิติที่น่าสนใจ ปี 2025 ไตรมาสแรกมีผู้ว่างงานราว 360,000 คน อัตราว่างงานประมาณ 0.88% ของกำลังแรงงานทั้งหมด แม้ตัวเลขจะดูต่ำ แต่ถ้าพิจารณาโครงสร้างแรงงานนอกระบบแล้ว จะเห็นว่าแรงงานนอกระบบมีจำนวนมากถึง 21 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 52.3% ของกำลังแรงงานทั้งหมดยังอยู่ “นอกระบบภาษี” และไม่ได้รับหลักประกันทางสังคมที่เพียงพอ
ประมาณการว่ามีผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2566 เกิน 11.99 ล้านคน เมื่อเทียบกับกำลังแรงงานทั้งหมดราว 40 ล้านคน ก็ทำให้เห็นภาพชัดว่ามีช่องว่างที่ยังดึงไม่เข้ามาในระบบภาษี รัฐจึงไม่ทราบข้อมูลรายได้ของบุคคลนอกระบบภาษีเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นทั้งคนที่มีงานทำ ตกงานหรือไม่ได้ทำงานเลยอยู่ก็เป็นไปได้
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า ปัญหาแรงงานนอกระบบที่มีสัดส่วนสูงเหล่านี้อาจเป็นคนที่เดอะแบกของบ้านกำลังแบกอยู่ก็เป็นได้ และนั่นคือเรื่องที่แนวคิดภาษีชนิดใหม่นี้พยายามเข้ามาตอบโจทย์
ในปี 2567 แรงงานนอกระบบมีจำนวนมากกว่าแรงงานในระบบประมาณ 2.2 ล้านคน จากผู้มีงานทำทั้งสิ้น 40.0 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ 21.1 ล้านคน (52.7%) และเป็นแรงงานในระบบ 18.9 ล้านคน (47.3%) โดยแรงงานนอกระบบเพศชายมีจำนวนมากกว่าเพศหญิง
การกระจายตัวของแรงงานนอกระบบ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนของแรงงาน นอกระบบมากที่สุด คือ 75.2% รองลงมาเป็น ภาคเหนือ 69.8% และภาคใต้ 58.4% ส่วนในกรุงเทพมหานครและภาคกลางมีแรงงานนอกระบบน้อยกว่าแรงงานในระบบ
ภาพจาก THE INFORMAL EMPLOYMENT SURVEY 2024 www.nso.go.th