อย่าเพิ่งปฏิเสธ! Airbnb-friendly Law ร่างกฎหมายสถานที่พักแรม จากศัตรูของคนอยู่คอนโด สู่โอกาสทองที่คุณอาจไม่เคยรู้
การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทยมาช้านาน และในยุคที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่พักก็จำเป็นต้องก้าวตามทัน ร่างพระราชบัญญัติสถานที่พักแรม พ.ศ. …. (ปรับปรุงพระราชบัญญัติโรงแรม) หรือในชื่อเล่นที่เรียกกันว่า Airbnb-friendly Law ที่กำลังร้อนแรง ทางรัฐกำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายนี้ จึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญ เพราะเป็นการยกเครื่องกฎหมายโรงแรม พ.ศ. 2547 ที่ใช้มานานจนไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน
ในสาระสำคัญ กฎหมายฉบับนี้มีการนิยาม “สถานที่พักแรม” ให้ครอบคลุมทุกประเภทของที่พัก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ โฮสเทล บูทีคโฮเทล บ้านพัก ห้องพักในคอนโดมิเนียมอาคารชุดที่ปล่อยเช่าระยะสั้น หรือแม้แต่รูปแบบใหม่ ๆ อย่างเต็นท์ Camper Van รถบ้าน แพ หรือโฮมสเตย์ชุมชน ขอบเขตจึงกว้างกว่ากฎหมายเดิมที่จำกัดอยู่เพียงโรงแรมแบบดั้งเดิม การปรับนิยามนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในเศรษฐกิจแบ่งปัน (sharing economy) และพฤติกรรมท่องเที่ยวแบบใหม่ที่นักท่องเที่ยวมองหาประสบการณ์เฉพาะตัวมากขึ้น
สาระสำคัญของร่างกฎหมายนี้ มีการแบ่งสถานที่พักแรมออกเป็น 3 จำพวกเพื่อให้การกำกับดูแลเหมาะสมกับขนาดและผลกระทบ
จำพวกที่ 1 คือที่พักขนาดเล็ก เช่น บ้านพักไม่เกิน 8 ห้อง หรือห้องพักคอนโดที่ให้เช่ารายเดือน ผู้ประกอบการเพียงแค่ “แจ้งนายทะเบียน” ก็สามารถดำเนินกิจการได้
จำพวกที่ 2 คือที่พักขนาดกลาง เช่น โรงแรม 9–40 ห้อง หรือห้องพักคอนโดที่ปล่อยเช่าระยะสั้น ต้องขึ้นทะเบียนกับนายทะเบียนก่อนจึงจะดำเนินการได้
ส่วนจำพวกที่ 3 คือโรงแรมและที่พักขนาดใหญ่เกิน 40 ห้อง หรือที่มีความเสี่ยงสูง จำเป็นต้องขอใบอนุญาตเต็มรูปแบบ การจัดชั้นเช่นนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการรายเล็กไม่ต้องเผชิญกับภาระทางกฎหมายเทียบเท่าโรงแรมใหญ่ และในขณะเดียวกันก็สร้างกลไกควบคุมที่เข้มงวดกับผู้ประกอบการรายใหญ่เพื่อคุ้มครองสาธารณะ
ในแง่การบริหารจัดการ กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องแต่งตั้งผู้จัดการสถานที่พักแรมที่มีคุณสมบัติชัดเจน มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัย สุขอนามัย ระบบป้องกันอัคคีภัย และการเก็บข้อมูลผู้เข้าพักอย่างเป็นระบบ รวมถึงต้องส่งข้อมูลผู้พักชาวต่างชาติไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายใน 24 ชั่วโมง นี่เป็นมาตรการที่สอดคล้องกับการรักษาความมั่นคงของประเทศและช่วยป้องกันเหตุอาชญากรรม อีกทั้งยังยกระดับมาตรฐานบริการและความปลอดภัยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล
ร่างกฎหมายยังให้อำนาจกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำนโยบายและแผนเพื่อส่งเสริมธุรกิจที่พักครอบคลุมตั้งแต่การรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่น การพัฒนามาตรฐานการบริการ ไปจนถึงการพัฒนาทักษะของบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งหมด เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว แผนเหล่านี้จะมีผลผูกพันหน่วยงานรัฐทุกแห่ง ซึ่งหมายถึงการบูรณาการทั้งระบบเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยไปข้างหน้า
หากมองจากมิติทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม กฎหมายฉบับนี้แก้ปัญหาที่ค้างคามานานคือ “พื้นที่สีเทา (Grey Area)” ของ Airbnb และการเช่าที่พักระยะสั้น เจ้าของห้องคอนโดจำนวนมากไม่มั่นใจว่าการปล่อยเช่าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นเรื่องถูกหรือผิดกฎหมาย และหลายครั้งทำให้เกิดความขัดแย้งกับผู้อยู่อาศัยร่วม กฎหมายฉบับนี้จะสร้างความชัดเจนว่าการปล่อยเช่าระยะสั้นสามารถทำได้ หากเข้าสู่ระบบการแจ้งและขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง พร้อมกับมาตรการควบคุมเพื่อไม่ให้รบกวนชุมชนรอบข้าง เมื่อความไม่แน่นอนหายไป เจ้าของห้องจะกล้าทำธุรกิจมากขึ้น และผู้อยู่อาศัยก็มั่นใจในความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย
สำหรับผู้ประกอบการ Airbnb หรือที่พักขนาดเล็ก การมีระบบการแจ้งที่ทำได้ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะลดต้นทุนและขั้นตอนที่ยุ่งยาก การไม่ต้องเสียเวลาไปยื่นเอกสารจำนวนมากที่หน่วยงานรัฐถือเป็นการออกแบบเชิงพฤติกรรมที่ทำให้การปฏิบัติตามกฎหมายง่ายขึ้น เมื่อกฎเกณฑ์เป็นมิตร ผู้ประกอบการก็มีแรงจูงใจที่จะเข้าสู่ระบบและเสียภาษีอย่างสมัครใจ
ในมุมโรงแรมขนาดใหญ่ การปรับปรุงกฎหมายครั้งนี้เป็นการสร้างสนามแข่งขันที่ยุติธรรม จากเดิมที่โรงแรมต้องแบกรับภาระทั้งค่าธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ขณะที่ Airbnb จำนวนมากทำงานนอกระบบไม่เสียภาษี เมื่อทุกฝ่ายต้องเข้าสู่ระบบเดียวกัน โรงแรมจึงไม่ถูกเอาเปรียบ และยังได้ประโยชน์จากการที่ตลาดนักท่องเที่ยวขยายตัว
สำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และเจ้าของที่ดิน กฎหมายนี้เปิดโอกาสใหม่ในการออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจแบ่งปัน เช่น คอนโดที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการปล่อยเช่าระยะสั้นอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งจะเพิ่มความต้องการซื้อและดันมูลค่าโครงการสูงขึ้น โดยเฉพาะหากมีข้อกำหนดเพิ่มเติมให้สิทธิทำ Airbnb สงวนไว้เฉพาะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่เป็นคนไทย จะยิ่งสร้างแรงจูงใจให้คนไทยลงทุนอสังหาฯ และทำให้รายได้หมุนเวียนอยู่ภายในประเทศ สอดคล้องกับเป้าหมายการสร้างงานและลดการกว้านซื้อคอนโดโดยต่างชาติ
รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ได้รับประโยชน์โดยตรง เพราะทุกการแจ้งและการขึ้นทะเบียนแปลว่ามีรายได้ภาษีเข้าระบบมากขึ้น เงินเหล่านี้สามารถนำไปใช้พัฒนาสาธารณูปโภคและคุณภาพชีวิตประชาชนในท้องถิ่นท่องเที่ยวที่รองรับนักเดินทางจำนวนมาก นอกจากนี้ การมีข้อมูลทะเบียนผู้เข้าพักอย่างเป็นระบบยังทำให้รัฐสามารถวิเคราะห์สถิติและวางนโยบายท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำ ลดปัญหาการท่องเที่ยวล้นเกินและบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างยั่งยืน
แล้วมันคุ้มค่าทางการเงินแค่ไหนที่จะกดปุ่มไฟเขียวให้มีกฎหมาย Airbnb-friendly Law
ปัจจุบันกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มที่พักระยะสั้นอย่าง Airbnb มีขนาดทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้: งานวิจัยที่ Airbnb มอบหมายให้ Oxford Economics ประเมินชี้ว่าในปี 2024 กิจกรรมของ Airbnb ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยประมาณ 72,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นผลกระทบทางตรงราว 30,000 ล้านบาท และผลกระทบทางอ้อม/ผลกระทบแบบลูกโซ่อีกราว 42,000 ล้านบาท พร้อมทั้งสนับสนุนการจ้างงานโดยรวมประมาณ 109,900 ตำแหน่ง ซึ่งแปลว่าเศรษฐกิจชุมชนได้รับการขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายของผู้มาเยือนและผู้ให้บริการที่พักในวงกว้าง (เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า บริการทำความสะอาด และบริการขนส่งท้องถิ่น)