Wealth in Clouds, Ground Cries for Rain เงินของคนรวยกำลังติดอยู่บนฟ้า หากไม่ปล่อยฝน วันหน้าอาจไม่มีดินให้ยืน
“ในโลกนี้เงินเปรียบเสมือนน้ำ…
หากมันลามไหลเวียนลงสู่พื้นดิน…
ดินก็ชุ่มหินก็ฉ่ำต้นไม้ก็ผลิใบ…
ผู้คนก็มีพลังใจและชีวิตชีวา…
เศรษฐกิจนำพาให้เติบโตดั่งป่าใหญ่…
แต่หากเงินหยุดไหลดั่งน้ำระเหยลอยขึ้นไป…
กักเก็บไว้เป็นเมฆากลางนภากาศ…
หากฝนไม่เคยสาดตกร่วงหล่นลงดิน…
โลกเบื้องล่างอาจสิ้นน้ำแล้งและแห้งผาก…
คนตัวเล็กต้องตายจากเพราะขาดน้ำดื่มกิน”
นี่คือภาพสะท้อนเศรษฐกิจปัจจุบัน เงินจำนวนมหาศาลถูกดูดซับเข้าสู่ investment sector หุ้น ทอง กองทุน อสังหาริมทรัพย์ คริปโต หรือการเก็งกำไรต่าง ๆ เงินถูกขังไว้ในเมฆดำหนาทึบ ขณะที่บนพื้นดิน real sector กลับขาดเงินหล่อเลี้ยงอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเป็นผลพวงจากระบวนการหนึ่งที่เรียกว่า Financialization หมายถึง การทำสิ่งใดๆ ให้กลายเป็นตัวเลขตีค่าทางการเงินได้ ตัวอย่างหนึ่งเช่น การที่อนุญาตให้บริษัทหนึ่งสามารถแปลงสินทรัพย์ที่มีคุณค่าแท้จริงจับต้องได้เปลี่ยนให้กลายเป็นหลักทรัพย์ที่เป็นตัวเลขทางการเงินแล้วนำไปเทรดในตลาดหุ้น เป็นต้น
โลกการเงินภายใต้วิถี Financialization ได้เติบโตจนมีขนาดใหญ่กว่าภาคเศรษฐกิจจริงอย่างมหาศาล ตัวอย่างชัดเจนคือสหรัฐอเมริกาที่มี “Buffett Indicator” หรืออัตราส่วนระหว่างมูลค่าตลาดหุ้นกับ GDP ล่าสุดแตะระดับกว่า 217% หมายความว่ามูลค่าตลาดหุ้นสูงกว่าขนาดเศรษฐกิจจริงเกินสองเท่าไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีระบบ “shadow banking” เช่น เหล่า Hedge fund และบริษัทประกันภัยต่างๆ ที่ปัจจุบันถือครองสินทรัพย์คิดเป็นราว 78% ของ GDP โลก และยังไม่นับรวมตลาดอนุพันธ์ที่มีอีกมากมาย ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การเก็งกำไรและการสร้างตราสารทางการเงินทับซ้อนกันไปมา ทำให้มูลค่าทางการเงินโตไกลเกินกว่าการผลิตและบริการจริง (Real sector) ซึ่งในหลายครั้งไม่ได้ก่อให้เกิดคุณค่าต่อเศรษฐกิจฐานราก แต่กลับสร้างความผันผวนและความเสี่ยงที่ภาคเศรษฐกิจจริงต้องรับผลกรรมตามมาด้วย
ในระดับโลก OECD เตือนว่าอัตราการลงทุนสุทธิภาคธุรกิจทั่วโลกตกลงเหลือเพียง 1.6% ของ GDP จากกว่า 2.5% ก่อนวิกฤตการเงินปี 2008 สะท้อนว่าแม้เงินทุนล้นโลก แต่กลับไม่ไหลลงไปสร้างงานและผลผลิตจริง
หากมองย้อนประวัติศาสตร์ ภาพนี้ไม่ต่างจากยุคกลางของยุโรป เมื่อทรัพย์สินและที่ดินส่วนใหญ่ถูกรวมศูนย์อยู่ในมือชนชั้นศักดินาและขุนนาง เกษตรกรผู้ทำงานบนดินกลับแทบไม่เหลือผลผลิตให้กินเอง เศรษฐกิจจึงซบเซาและเหลื่อมล้ำสุดขั้ว เงินในสมัยนั้นเปรียบเหมือน “เมฆของขุนนาง” ที่กักเก็บไว้ ไม่หลั่งไหลลงมาสู่ราษฎร