สิงห์ เอสเตท รายงานรายได้กว่า 3 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 จากรายได้ของธุรกิจโรงแรมในไทยและอาคารสำนักงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สิงห์ เอสเตท รายงานผลการดำเนินงานจากการขายและให้บริการไตรมาส 1 ประจำปี 2568 จำนวน 3,365
ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่จำนวน 70 ล้านบาท ยืนยันการดำเนินการขับเคลื่อนความมั่นคงด้วยสัดส่วนหลักจากรายได้ประจำจากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงาน
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ (SET: S) ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2568 มีรายได้หลักจากการดำเนินงานรวม 3,365 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงานที่ประมาณร้อยละ 87 และรายได้ไม่ประจำ (Non-Recurring Income) จากธุรกิจที่พักอาศัยที่ร้อยละ 13 ตอกย้ำกลยุทธ์การดำเนินงานในทิศทางที่มั่นคง มีกระแสเงินสดต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงในโลกปัจจุบัน
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า
“แม้ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจยังคงเผชิญกับปัจจัยความท้าทายหลายด้าน ทั้งทางตรงและทางอ้อม บริษัทฯ ยังคงเดินหน้า
ด้วยความมั่นใจภายใต้กลยุทธ์ที่วางไว้อย่างรอบคอบและยืดหยุ่น เราประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อม
อย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น พร้อมปรับแผนอย่างทันท่วงที เพื่อรักษาเสถียรภาพของธุรกิจ
และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ถึงแม้จะมีการชะลอตัวของการโอนอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่พักอาศัยลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีฐานค่อนข้างสูงจากการเริ่มโอนคอนโดมิเนียม โครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ แต่บริษัทฯ ยังคงเห็นการโอนจากยอดขายที่ลูกค้าทำสัญญาไว้แล้ว (Backlog) เป็นไปตามแผนและการตอบรับที่ดีขึ้นในเซ็กเมนต์ลักชูรีจากโครงการฌอน วงแหวน-จตุโชติ และ ฌอน ปัญญาอินทรา อีกทั้งตลาดยังมีโอกาสสำหรับโครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้าในแง่
การอยู่อาศัยและความคุ้มค่าในการลงทุน ดังเห็นได้จากการตอบรับที่ดีของโครงการคอนโดมีเนียม วัน ริเวอร์ พระรามสาม มูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนของบริษัทที่เปิดตัวไปเมื่อไตรมาส 1 ที่ผ่านมา และกวาดยอดพรีเซลล์ไปกว่า
ร้อยละ 86 พร้อมก่อสร้างและเดินหน้าส่งมอบในปี 2570
เช่นเดียวกันกับธุรกิจโรงแรมที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น ภายหลังจากการปรับปรุงโรงแรมหลัก โดยผลจากการปรับปรุงโรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต ซึ่งแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567 สามารถปรับเพิ่มอัตราห้องพักต่อคืน (ADR) ได้สูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 31% มาอยู่ที่ 12,950 บาท ซึ่งเป็นอัตราห้องพักที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) เติบโตขึ้นถึง 23% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน