ภาษีศุลกากร การค้า และการเปลี่ยนแปลง: เปลี่ยนภูมิทัศน์ของอสังหาฯ อุตสาหกรรม

เกริก บุณยโยธิน 24 April, 2025 at 13.12 pm

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


โดย มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ หุ้นส่วน หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านพื้นที่โลจิสติกส์และอุตสาหกรรม

 

Fstoppers บริษัทอุปกรณ์ถ่ายภาพจากสหรัฐอเมริกา ต้องเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้าย: การผลิตชิ้นส่วนอย่างง่ายในประเทศ มีต้นทุนกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อชิ้น ขณะที่การผลิตชิ้นเดียวกันในประเทศจีนมีต้นทุนเพียง 7.50 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถูกกว่ากันมากกว่าสิบเท่า ทางเลือกของพวกเขาไม่ใช่แค่การจัดเรียงซัพพลายเชนใหม่ แต่คือการตัดสินใจว่าจะสามารถขายสินค้านั้นต่อไปได้หรือไม่

ตัวอย่างนี้สะท้อนถึงแรงกดดันอันรุนแรงที่ภาษีศุลกากรสร้างขึ้นต่อผู้ผลิต ซึ่งเป็นแรงกดดันที่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเกี่ยวกับสถานที่ผลิต ความต้องการพื้นที่ของโรงงาน และโครงข่ายโลจิสติกส์ โดยตรง เมื่อการตัดสินใจเหล่านี้พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยที่ซับซ้อน เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความจำเป็นในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับซัพพลายเชน ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงส่งตรงมายังภาคอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรม ทั้งในแง่ของความต้องการคลังสินค้า โรงงานผลิต และศูนย์กระจายสินค้าในระดับโลก

 

บทความนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจากนโยบายภาษีศุลกากร โดยเน้นไปที่กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต การปรับโครงสร้างซัพพลายเชน และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยย้อนกลับไปทบทวนบทเรียนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีนครั้งแรก พร้อมทั้งสำรวจว่า ประเทศจีนสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบของภาษีศุลกากรได้อย่างไร ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การลงทุนโดยตรงในตลาดประเทศที่สาม และการจัดโครงสร้างซัพพลายเชนใหม่

 

การวิเคราะห์ในบทความนี้เน้นไปที่ภาษีศุลกากรล่าสุดของสหรัฐอเมริกาซึ่งเกิดจากความตึงเครียดทางการค้ากับจีน แต่ก็ยังเสนอข้อสรุปที่มีนัยสำคัญในระดับที่กว้างกว่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้กำหนดนโยบาย ผู้ผลิต และนักลงทุน ที่กำลังดำเนินการภายใต้ภูมิทัศน์ทางการค้าที่เปลี่ยนไปสู่ความหลากหลายทางขั้วของอำนาจ ในการทำเช่นนั้น บทความนี้มีเป้าหมายเพื่อขยับบทสนทนาออกจากวาทกรรมเชิงอารมณ์ ไปสู่ความเข้าใจเชิงกลยุทธ์ที่ตั้งอยู่บนหลักฐาน ซึ่งเป็นรากฐานในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนในระยะยาว

1. มุมมองของ SMEsผู้เล่นที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญ

ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งมักได้รับการยกย่องว่าเป็นแรงขับเคลื่อนแห่งนวัตกรรม กลับเผชิญกับข้อเสียเปรียบเชิงโครงสร้างภายใต้นโยบายการค้า โดย SMEs มีบทบาทสำคัญต่อการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากประเทศจีน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค เครื่องมือช่าง และชิ้นส่วนเฉพาะทาง อย่างไรก็ตาม SMEs ไม่สามารถรับภาระจากภาษีศุลกากรได้เท่ากับองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นและกระทบต่อความอยู่รอดของธุรกิจ อีกทั้งหลายรายยังต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตของจีนเพื่อการสร้างต้นแบบและเครื่องมือที่มีต้นทุนไม่สูง

ผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์:

– ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความไม่แน่นอน อาจทำให้ความต้องการเช่าพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดเล็กลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ SMEs เป็นกลุ่มผู้ใช้หลัก อาจส่งผลให้ค่าเช่าลดลงตามไปด้วย

– นโยบายที่สนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ และการสร้างซัพพลายเชนในระดับท้องถิ่น อาจกระตุ้นความต้องการพื้นที่แบบยืดหยุ่น เช่น พื้นที่สำหรับสตาร์ทอัพหรือโรงงานต้นแบบ (maker space)

– พื้นที่เหล่านี้ โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้คลัสเตอร์การผลิตหรือศูนย์กลางโลจิสติกส์ อาจกลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น

– SMEs จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบายที่เอื้อต่อการเข้าถึงพื้นที่อุตสาหกรรมที่เหมาะสมและมีราคาจับต้องได้ เพื่อความยืดหยุ่นของภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวม

กลไกการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ (ซึ่งแตกต่างจากโครงการที่กระจัดกระจายของสหรัฐฯ) จึงมีความจำเป็น SMEs ต้องเข้าถึงแหล่งทุน เครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ และระบบนิเวศทางการค้าที่เข้าใจข้อจำกัดของพวกเขา

2. บริษัทขนาดใหญ่กับความท้าทายที่ใหญ่กว่า

แม้ผู้ผลิตรายใหญ่จะมีความสามารถมากกว่าในการจัดการกับภาษีศุลกากร แต่ก็ยังเผชิญกับข้อจำกัดในการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศและการปรับโครงสร้างธุรกิจ บรรษัทข้ามชาติจำนวนมากสามารถปรับโครงข่ายหรือโยกย้ายเงินทุนได้ และบางแห่งยังพยายามขอยกเว้นจากนโยบายภาษี (ซึ่ง SMEs ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย) อย่างไรก็ตาม การย้ายฐานการผลิตกลับประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้นทุนในประเทศที่สูง ขาดแคลนที่ดินอุตสาหกรรม และซัพพลายเชนที่อ่อนแอ

นอกจากนี้ ความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ยังผลักดันให้ผู้ผลิตให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและการกระจายความเสี่ยงของซัพพลายเชนในระดับภูมิภาคมากขึ้น

เมื่อการผลิตกลับคืนมา สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือการใช้ระบบอัตโนมัติ รายงานของ McKinsey Global Institute ในปี 2017 ประเมินว่า 60% ของกิจกรรมการผลิตสามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้ และการย้ายฐานกลับมักต้องพึ่งพาการลงทุนในระบบหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งอาจไม่สร้างตำแหน่งงานโดยตรงมากนัก [อ้างอิง: McKinsey Global Institute, “A Future That Works: Automation, Employment, and Productivity,” 2017]

ผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์:

– ความพยายามในการย้ายฐานผลิตและเพิ่มความยืดหยุ่นของซัพพลายเชน อาจกระตุ้นความต้องการสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่มีระบบอัตโนมัติสูง

– คุณสมบัติสำคัญของโรงงานในอนาคต ได้แก่ เพดานสูง พื้นที่ใช้สอยกว้าง และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับไฟฟ้าและระบบไอทีขั้นสูง

– การขาดแคลนที่ดินอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ถือเป็นอุปสรรคสำคัญ

– ระบบอัตโนมัติอาจช่วยปรับโครงสร้างโรงงานเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้จะใช้พื้นที่ลดลง แต่จะมีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่มากขึ้น

3. ภาพลวงตาของระบบอัตโนมัติ (The Automation Mirage)

แม้การผลิตจะย้ายกลับประเทศต้นทาง (reshoring) แต่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ซึ่งตรงกันข้ามกับความคาดหวังของสาธารณชน การย้ายฐานผลิตกลับประเทศไม่ได้หมายถึงการสร้างงานในระดับเดิม ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ได้ลดความจำเป็นในการใช้แรงงานในการผลิตลงอย่างมาก ทำให้การผลิตกลายเป็นกิจกรรมที่ใช้ทุนและเทคโนโลยีสูงมากยิ่งขึ้น รายงานของ McKinsey ระบุว่า กว่า 60% ของกิจกรรมการผลิตสามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน หมายความว่าโรงงานที่กลับมาตั้งในประเทศจะมาพร้อมกับงานที่น้อยลง แต่ต้องการทักษะสูงมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรม แม้ระบบอัตโนมัติจะลดความจำเป็นของพื้นที่สำหรับสายการผลิตแบบดั้งเดิม แต่กลับเพิ่มความต้องการด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานของโรงงานอย่างมาก โรงงานสมัยใหม่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง เช่น พื้นรองรับน้ำหนักได้สูง เพดานสูง ความสามารถในการรองรับไฟฟ้าระดับสูง ระบบควบคุมอุณหภูมิขั้นสูง และการเชื่อมต่อดิจิทัลความเร็วสูง เพื่อรองรับหุ่นยนต์และกระบวนการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

นอกจากนี้ โรงงานประเภทนี้ยังต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับพื้นที่อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ทั้งในด้านการพัฒนาใหม่หรือการปรับปรุงพื้นที่เดิม ส่งผลให้ผู้ผลิตและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความสามารถในการดำเนินงานระยะยาว ความสามารถในการขยายธุรกิจ และผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อจะเดินหน้าแผนการย้ายฐานผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติ

4. เมื่อนายทุนเคลื่อนย้ายเพราะความไม่แน่นอน (Where Capital Goes When Certainty Doesn’t)

แม้ภาษีศุลกากรจะมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ภาคการผลิตกลับคืนสู่ประเทศต้นทาง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับเป็นการกระจายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนแทน กลยุทธ์ “China-plus-one” กลายเป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานสำหรับบรรษัทข้ามชาติที่ต้องการประสิทธิภาพด้านต้นทุนและความปลอดภัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศอย่างเวียดนาม ไทย มาเลเซีย แคนาดา และเม็กซิโก ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยมีแรงหนุนจากข้อตกลงการค้าในระดับภูมิภาค ต้นทุนแรงงานที่แข่งขันได้ และความใกล้ชิดกับตลาดหลัก 

อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายภาษีล่าสุดของสหรัฐฯ รวมถึงการข่มขู่จะเรียกเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นผู้อพยพ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางเชิงนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ [อ้างอิง: Office of the United States Trade Representative, “President Trump Announces Tariffs on All Imports from Mexico,” 30 พฤษภาคม 2019, และ Wall Street Journal, “Trump Threatens Tariffs on All Goods From Mexico to Force Action on Border,” 30 พฤษภาคม 2019]

ภาษีรอบล่าสุดที่กำหนดกับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางแนวโน้มของการตั้งโรงงานใกล้ชายแดน (nearshoring) อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะไม่ให้การผลิตเพียงแค่ย้ายข้ามพรมแดน แต่ต้องกลับคืนสู่สหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบ แนวทางนี้เพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเม็กซิโกในฐานะจุดหมายปลายทางของ nearshoring และอาจทำให้กระแสการลงทุนในศูนย์กลางอุตสาหกรรมของเม็กซิโกลดลง

ในขณะเดียวกัน จีนเองก็มีการปรับตัวเชิงรุก โดยผู้ผลิตจีนจำนวนมากย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่สาม เพื่อรักษาต้นทุนให้แข่งขันได้ และยังคงเข้าถึงตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยจาก OECD และบทความวิชาการยังแสดงให้เห็นว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในตลาดอย่างเวียดนามและไทย เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อรักษาการเข้าถึงตลาดโลก และลดผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ [อ้างอิง: Organisation for Economic Co-operation and Development, “Global Value Chains: Preliminary Evidence on Drivers, Scope and Measurement,” 2012 และ Journal of International Business Studies, “The impact of tariffs on the location of foreign direct investment: Evidence from the US-China trade war,” 2021]

แนวโน้มนี้ส่งผลให้ภูมิทัศน์ของการผลิตโลกเกิดความกระจัดกระจายและไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายในการตัดสินใจเลือกสถานที่ตั้งของซัพพลายเชน

ผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์:

– ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในเม็กซิโกจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ความต้องการพื้นที่อุตสาหกรรมลดลงจากระดับที่เคยแข็งแกร่ง และทำให้การลงทุนใหม่หรือการขยายตัวตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกต้องหยุดชะงัก

– ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มได้รับความสนใจมากขึ้นในฐานะทางเลือกของการตั้งฐานผลิตใกล้ตลาดหลัก (alternative nearshoring destinations) ส่งผลให้เกิดความต้องการพื้นที่คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคสูงขึ้น

– นักลงทุนและผู้เช่าในภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องติดตามความเคลื่อนไหวด้านนโยบายอย่างใกล้ชิด และประเมินความเสี่ยงและความผันผวนในทำเลที่เคยเป็นจุดหมายหลักของการตั้งฐานการผลิต

5. แล้วการปกป้องเชิงกลยุทธ์ล่ะ? (What About Strategic Protection?)

ผู้สนับสนุนมาตรการภาษีศุลกากรมักอ้างเหตุผลด้าน “อุตสาหกรรมเกิดใหม่” หรือ “ความมั่นคงของชาติ” โดยเฉพาะในภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยาแผนปัจจุบัน แร่ธาตุสำคัญ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งอาจสมควรได้รับการสนับสนุน เนื่องจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และช่องโหว่ของห่วงโซ่อุปทานที่ถูกเปิดเผยในช่วงเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษีศุลกากรเพียงอย่างเดียวมักไม่เพียงพอ การคุ้มครองอุตสาหกรรมอาจช่วยยืดเวลาปรับตัว แต่อาจไม่ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมหรือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้โดยอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ ยังคงล้าหลัง แม้จะมีมาตรการภาษีศุลกากรก็ตาม ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการลงทุนที่ไม่เพียงพอ

การ “ฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม” อย่างยั่งยืนจำเป็นต้องมีองค์ประกอบมากกว่ามาตรการภาษี ได้แก่ การลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาแรงงาน และการสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเติบโตได้อย่างแท้จริง

ผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์:

– อุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์จะมีความต้องการพื้นที่โรงงานผลิตและศูนย์วิจัยและพัฒนาที่เฉพาะทางมากขึ้น

– พื้นที่เหล่านี้ต้องมีคุณลักษณะเฉพาะ ได้แก่ ทำเลที่มีความปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง ความใกล้ชิดกับศูนย์วิจัย และระบบสาธารณูปโภคที่แข็งแกร่ง

– มาตรการภาษีและนโยบายสนับสนุนอาจกระตุ้นความต้องการพื้นที่อุตสาหกรรมที่ออกแบบเฉพาะ ซึ่งเปิดโอกาสให้กับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

– อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเหล่านี้ต้องเผชิญกับความซับซ้อนด้านความปลอดภัย กฎระเบียบ และการประเมินความต้องการในระยะยาว

6. บทสรุป – เลือกสร้างรากฐาน ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า (Conclusion – Choose the Foundation, Not the Fix)

แม้มาตรการภาษีศุลกากรจะสามารถเปลี่ยนทิศทางการค้าได้ แต่ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมอย่างสม่ำเสมอ มาตรการเหล่านี้เพิ่มต้นทุน สร้างความไม่แน่นอน และอาจลดความสามารถในการแข่งขันซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญของความต้องการพื้นที่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ ความพึ่งพานโยบายภาษีอย่างต่อเนื่องอาจบิดเบือนตลาด ขัดขวางการลงทุน และเพิ่มความผันผวน

การฟื้นฟูขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนต้องอาศัยรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ได้แก่ การลงทุน การพัฒนาทักษะแรงงาน และความสอดคล้องเชิงนโยบาย ในภาคอสังหาริมทรัพย์ นั่นหมายถึงนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตในระยะยาว ความมั่นคง และนวัตกรรม แทนที่จะพึ่งพามาตรการแก้ไขเฉพาะหน้า

นโยบายเหล่านี้ควรครอบคลุมถึงการสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ยืดหยุ่น สนับสนุนการพัฒนาสิ่งปลูกสร้างที่ยั่งยืนและปรับเปลี่ยนได้ให้รองรับเทคโนโลยีการผลิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่ นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาความขาดแคลนที่ดิน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการฝึกอบรมแรงงาน

 

ผู้กำหนดนโยบายต้องเลือกทิศทาง: จะเดินหน้าด้วยแนวทางที่เน้นมาตรการภาษี ซึ่งเสี่ยงต่อการทำให้ห่วงโซ่อุปทานกระจัดกระจายและการลงทุนหดตัว หรือจะเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรากฐานของตลาดอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง

เพื่อรับมือกับความซับซ้อนนี้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมควรให้ความสำคัญกับ:

– การสนับสนุน SME ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน การย้ายฐานการผลิต และเครือข่ายธุรกิจ พร้อมจัดหา “พื้นที่อุตสาหกรรมที่เหมาะสม ราคาเข้าถึงได้ และมีความยืดหยุ่น”

– การพัฒนาทักษะแรงงานผ่านหลักสูตรอาชีวศึกษาที่สอดคล้องกับการผลิตและโลจิสติกส์สมัยใหม่ เพื่อดึงดูดการลงทุน

– การคืนความสอดคล้องให้กับนโยบายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการวางแผนในระยะยาว

– การสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ยืดหยุ่น และส่งเสริมการพัฒนาอาคารที่ยั่งยืนและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเทคโนโลยีการผลิตที่เปลี่ยนแปลง

ขีดความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงเกิดจากนวัตกรรมและความร่วมมือ ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่แท้จริงของความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์อุตสาหกรรมสมัยใหม่ และนำไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจในระยะยาว

เกริก บุณยโยธิน

เกริก บุณยโยธิน

ผู้ก่อตั้งเวปไซต์แบ่งปันความรู้ด้านการตลาด และการสร้างแบรนด์ในวงการอสังหาฯ พร็อพฮอลิค ดอทคอม..หลังจากที่ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ในการวนเวียน เข้าๆออกๆ ในสายงานด้านการตลาด และวางแผนกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ของบริษัทอสังหาฯ และเอเยนซีโฆษณาชั้นนำหลายแห่ง (โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องจับสลากเจอลูกค้าสายอสังหาฯทุกที)...จนถูกครอบงำโดยจิตใต้สำนึก ให้ถีบตัวเองออกจากกรอบการทำงานแบบเดิมๆ เพื่อออกมาจุดประกายความคิดที่ถูกต้อง และนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ให้กับกลุ่มคนที่สนใจในธุรกิจอสังหาฯ

เว็บไซต์

เรฟเฟอเรนซ์ เกษตร ดิสทริค

นิว โคสต์ คูคต สเตชัน

ศุภาลัย เอสเซ้นส์ บางนา - สุวรรณภูมิ

“เราเชื่อว่าบ้านที่ดีที่สุด คือบ้านที่ทำให้รู้สึกคิด...

4 March, 2025

นิว เอปิค อโศก-พระราม 9

โครงการ NUE EPIC ASOK – RAMA 9 ตั้งอยู่บนถนนอโศก-ดิน...

6 January, 2025

นิว คอร์ คูคต สเตชัน

NUE Core Khu Khot Station เป็นคอนโดใหม่เพียงหนึ่งเดี...

20 December, 2024

ศุภาลัย แกรนด์ เอสเซ้นส์ อรุณอมรินทร์

ทำเลฝั่ง “ธนบุรี” ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง...

6 November, 2024

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง