คาดการณ์เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจในปี 2025

ชยางกูร กิตติธีรธำรง 28 December, 2024 at 20.00 pm

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


ทุกคนเป็นอย่างไรกันบ้างครับกับตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในบ้านเราปีนี้ถือว่าค่อนข้างมีความท้าทาย โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยที่ดูทีท่าจะมีการฟื้นตัวช้าของกำลังซื้อ และมีแนวโน้มหดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งค่อนข้างน่าเป็นห่วง ถึงแม้ว่าในปีนี้พวกเราจะเห็นการเปิดตัวโครงการหลากหลาย รวมถึง Mega project ทั้งในกรุงเทพฯและตามหัวเมืองต่างจังหวัด เดี๋ยวบทความนี้จะมา Recap ให้ดูกันว่าตลอดปีที่ผ่านมาสถานการณ์เป็นอย่างไร และในปีหน้ามีประเด็นอะไรที่น่าสนใจที่น่าจับตามองกันบ้าง รวมไปถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มอื่นๆด้วย

 

โดยขอเริ่มต้นจากสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ก่อนเลย โดยข้อมูลจาก REIC นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ยังคงติดลบ ซึ่งถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ยังถือว่าติดลบน้อยกว่าไตรมาสแรกของปี 2567 สะท้อนถึงตลาดที่อยู่อาศัยว่ากำลังมีสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างเช่น การลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ให้กับที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จากเดิมไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น จึงทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 

 

ในส่วนข้อมูลศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ยังคาดการณ์ว่าตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 และ 2568 ยังคงมีแนวโน้มหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมี 3 ปัจจัยหลัก คือ 1) แรงกดดันด้านการฟื้นตัวของกำลังซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง-ล่าง ที่ส่วนใหญ่ตัดสินใจยังไม่ซื้อที่อยู่อาศัย หรือชะลอการซื้อออกไป 2) ความเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง และ 3) ต้นทุนการก่อสร้างที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นตาม จากราคาที่ดินโดยเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยว อย่างจังหวัดภูเก็ต 

 

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเทรนด์การอยู่อาศัยทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จากข้อมูล ในสหรัฐอเมริกาก็มีเทรนด์ที่ “ไม่จำเป็นต้องอยู่กลางเมืองก็ได้ แต่ขอให้มีพื้นที่การใช้ชีวิตมากขึ้น หรือการมีที่ดินใหญ่ขึ้นด้วย” หรือในออสเตรเลีย “ก็ต้องการให้บ้านเป็นมากกว่าแค่บ้าน คือสามารถปรับเปลี่ยนเป็นออฟฟิศได้” หรือ ในญี่ปุ่น ที่เป็นประเทศที่มีที่ดินอยู่อย่างจำกัด “ก็ต้องการพื้นที่ Outdoor space เพื่อให้ได้ใกล้ชิดธรรมชาติได้มากขึ้น” ส่วนในประเทศไทย พฤติกรรมของคนไทยหลังยุคโควิดก็พบเห็นการปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในบ้านกันมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่ทำงานที่บ้านกันมากขึ้น นอกจากนั้นอีกประเด็นของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็คือเทรนด์คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Friendly) ที่ยังเป็นกระแส และต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากคนมีลูกน้อยลงแต่เลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น ซึ่งเมื่อพอเราทราบภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยกันคร่าวๆแล้วลองมาดูต่อกันที่รายละเอียดกันบ้าง

 

สำหรับตลาดที่อยู่อาศัย (Residential)

ภาพจาก: Sector Spotlight: Residential | Nareit

จากข้อมูล ธนาคารเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP ประเมินว่าบ้านใหม่เสี่ยงเหลือคงค้างเหลือมากที่สุดในรอบ 8 ปี จากทั้งสาเหตุการหดตัวของกำลังซื้อ ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศลดลง 15% รวมไปถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567 ก็มีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมที่มียอดเปิดตัวลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับปี 2566

 

ถ้าเราลองมาดูการโอนกรรมสิทธิ์ จากข้อมูล REIC ข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด ในไตรมาส 3 ของปี 2567 (รวมทุกระดับราคา) มีจำนวนรวมอยู่ที่ 31,247 หน่วย โดยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีการโอนจำนวน 29,041 หน่วย ส่วนในฝั่งการโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยแนวราบ ในไตรมาส 3 ของปี 2567 (รวมทุกระดับราคา) ที่อยู่อาศัยแนวราบมีการโอนลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยมีจำนวน 59,381 หน่วย ลดลงร้อยละ -9.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีจำนวน 65,905 หน่วย ทำให้ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทั้งประเภทอาคารชุดและที่อยู่อาศัยแนวราบ ไตรมาส 3 ของปี 2567 มีจำนวนหน่วยและมูลค่าที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

 

สำหรับแนวโน้มปี 2568 คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจำนวน 363,600 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -4.5 ถึงร้อยละ 12.3 ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -1.4 ถึงร้อยละ 16.0 และอาคารชุด 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -11.6 ถึงร้อยละ 3.9

 

โดยจากข้อมูลข้างต้นทำให้เริ่มเห็นแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการหรือ Developer หลายๆรายในปัจจุบัน ที่จะมีการปรับตัวในหลากหลายรูปแบบเพื่อให้ธุรกิจยังคงสามารถทำกำไรได้อยู่ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาโครงการบนทำเลใหม่ๆอย่างในย่านชานเมืองของกรุงเทพฯบนพื้นที่ดินแปลงใหญ่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการประหยัดต้นทุนของตัวที่ดิน และยังสามารถกระจายความเสี่ยงอย่างการเปิดโครงการหลากหลายแบรนด์ได้มากขึ้น ทยอยพัฒนา ทยอยโอน และเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น โครงการของแสนสิริที่ทำเป็น Sansiri Community ทั้งทำเลกรุงเทพกรีฑาและบางนา โดยในตัวพื้นที่นั้นก็จะมีแบรนด์ตั้งแต่ บุราสิริ เศรษฐสิริ นาราสิริ จนไปถึงบ้านแสนสิริ ซึ่งข้อดีนอกจากจะได้ต้นทุนที่ดินที่ต่ำลง ยังพัฒนาแบรนด์ได้หลากหลายมากขึ้น เป็นต้น

 

หรือแนวโน้มอีกอันหนึ่งของ Developer ก็คือ การมองหาฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง อย่างเช่น การพัฒนาเพื่อเอื้อต่อการซื้อของชาวต่างชาติมากขึ้น (Foreign Buy Easier) โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ อย่างภูเก็ตหรือเชียงใหม่ ด้วยรูปแบบการขายแบบ Leasehold หรือ สิทธิ์การเช่าในระยะยาว นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการทำโครงการวิลล่าสุดหรูในแนวราบ แต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นโฉนดที่ดิน แต่กลับจดเป็นรูปแบบอาคารชุดแทน ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ในทางปฎิบัติชาวต่างชาติสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้แบบเต็ม Quota เลย (Leasehold ไม่มีข้อกำหนด และอาคารชุดถือครองได้ 49%) และยังพบว่าหลายๆ Developer ก็เริ่มทำกันแบบนี้แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางกฎหมาย ส่วนกลุ่มลูกค้าคนไทยก็จะมีการก็ใช้รูปแบบ Rent to Own กันมากขึ้น หรือเป็นรูปแบบการจ่ายค่าเช่าโดยตรงกับทางโครงการ

นอกจากตลาดที่อยู่อาศัยแล้วลองมาดูอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มอื่นๆอย่างตลาดโรงแรม (Hospitality) กันบ้าง

ภาพจาก: How can universities and the wider industry work together to maintain the hospitality stars of the future? – Institute of Hospitality

เมื่อพูดถึงตลาดโรงแรม ก็ต้องมาดูตลาดการท่องเที่ยวกันก่อน โดยจากข้อมูล CBRE ในไตรมาส 3 ของปี 2024 เปิดเผยว่า

ภาพจาก: CBRE

ตลาดการท่องเที่ยวไทยได้เปิดรับนักท่องเที่ยวกว่า 8.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นชาติที่เข้ามามากที่สุด 1.8 ล้านคน และตามมาด้วยชาวมาเลเซียอีก 1.3 ล้านคน

 

โดย Supply หรืออุปทานของตัวโรงแรม ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2024 ตลาดโรงแรมมีอุปทานทั้งหมด 80,200 ห้อง เพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่ายังมีโรงแรมใหม่อีก 5 แห่ง ที่จะเพิ่มจำนวนห้องมาอีก 966 ห้อง

 

นอกจากนั้นในส่วนข้อมูลรายได้ของธุรกิจโรงแรมและที่พัก (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ในปี 2567 จะมีมูลค่า 9.5 แสนล้านบาท เติบโต 16.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน 2566 และยังพบว่าโรงแรมและที่พักในเมืองท่องเที่ยวรองจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากอัตราการเข้าพักที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด

 

และสำหรับแนวโน้มธุรกิจโรงแรมและที่พัก ทางกรุงศรีฯ(Krungsri 2024) รายงานว่า กำลังค่อยๆฟื้นตัว แต่สิ่งที่น่าจับตามองสำหรับตลาดโรงแรมจะมี 3 ประเด็นหลักๆ คือ 1) ความเสี่ยงของความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงครามต่างๆ 2) นักท่องเที่ยวจีนที่อาจจะยังคงเน้นท่องเที่ยวในประเทศตัวเองเป็นหลัก และ 3) นักท่องเที่ยวไทยที่ยังคงมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง และกำลังซื้อที่ยังไม่แข็งแกร่ง เป็นต้น

 

ตลาดต่อมาที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับตลาดโรงแรมก็คือ ตลาดค้าปลีก (Retail)

ภาพจาก: The Power of In-Store Retail Media Networks – Visual Art

สำหรับตลาดค้าปลีก Retail จากข้อมูล CBRE เปิดเผยว่า

ภาพจาก: CBRE

พื้นที่ Retail หรือพื้นที่ค้าปลีกในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นจาก 8.2 ล้าน ตารางเมตร ในไตรมาส 2 ปี 2023 เป็น 8.3 ล้านตารางเมตร ในไตรมาส 2 ของปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน มากไปกว่านั้นพื้นที่ที่กำลังจะวางแผนในการพัฒนาและกำลังก่อสร้างมีอีก 1.1 ล้านตารางเมตร สำหรับตลาดค้าปลีกในกรุงเทพฯ ไตรมาสที่ 4 ถือว่าค่อนข้างสดใส เนื่องจากทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ เริ่มมาใช้จ่ายในช่วงวันหยุดเพื่อซื้อของไปฝากญาติผู้ใหญ่ หรือการทำกิจกรรมต่างๆ

 

ซึ่งประเด็นที่น่าจับตามอง (Krungsri 2024) ในตลาดค้าปลีก คือการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รวมไปถึงคู่แข่งจากร้านค้าออนไลน์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และอีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ การผสมผสานเทคโนโลยี AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์เข้าไป ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนในการจัดการสินค้า การให้ลูกค้าชำระเงินแบบบริการตนเอง จนไปถึงการใช้ Data science ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนเพื่อช่วยในการเตรียมแผนงานสำหรับอนาคต

 

ส่วนตลาดสุดท้ายที่อยากพูดถึงก็คือ ตลาดอาคารสำนักงาน (Office)

ภาพจาก: The Evolution of Office Design | Morgan Lovell

เนื่องจากในปัจจุบันหลากหลายโครงการที่มีการพัฒนาแบบมิกส์ยูซ (Mixed-use) มักจะมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยควบคู่ไปกับอาคารสำนักงานในที่ดินผืนเดียวกัน ซึ่งโดยในตลอดช่วงปีที่ผ่านมามี Mega project ที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ โครงการ One Bangkok โปรเจคแสนล้าน ซึ่งในนั้นก็มีอาคารสำนักงาน กว่า 5 อาคาร ทำให้มีพื้นที่รวมกว่า 500,000 ตารางเมตร ซึ่งนอกจากโครงการนี้ก็ยังมีอาคารสำนักงานอีกหลายๆแห่งกำลังจะเปิดตัวตามมาด้วย

โดยจากรายงานข้อมูลของ CBRE รายงานว่า ตลาดอาคารสำนักงานในไตรมาส 3 ของปี 2024 มี Supply อยู่ที่ 9,737,961 ตารางเมตร ยังไม่รวมโครงการที่กำลังจะตามมาทั้ง Rangsit Business Park และโครงการรื้อถอนศรีเฟื้องฟุ้ง ซึ่งทั้ง 2 แห่งจะมีพื้นที่กว่า 12,000 ตารางเมตร

 

โดยความน่าสนใจของไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 คือการมีผู้เช่าย้ายเข้าไปอยู่ในออฟฟิศเกรด A+ กว่า 36,761 ตารางเมตร ซึ่งพื้นที่ออฟฟิศเกรด A+ จะมีพื้นที่อยู่ประมาณ 37,847 ตารางเมตร นอกจากนี้ในส่วนของออฟฟิศเกรด A ในพื้นที่ชั้นในและชั้นนอกก็มีการครอบครองในเชิงบวก โดยมีพื้นที่รวมกว่า 8,483 ตารางเมตร

 

ในส่วนของเรื่องอัตราการเช่า พบว่า สำหรับตึกเก่าในย่านใจกลางเมืองหรือ CBD ในไตรมาสนี้ อัตราการเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นมีเพียงออฟฟิศเกรด A+ จากไตรมาส 2 ของปี 2024 มีอัตราเพิ่ม 2.6% ซึ่งมีอัตราการเช่าอยู่ที่ประมาณ 1,180 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ซึ่งในกลุ่ม Grade A+ จะเป็นกลุ่มที่ยังสามารถขึ้นค่าเช่าได้ง่าย แต่ในทางตรงกันข้าม อัตราค่าเช่าเฉลี่ยในตลาดสำนักงานกลุ่มอื่นๆยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน

 

นอกจากนี้ในไตรมาส 3 ของปี 2024 ยังมีพื้นที่ออฟฟิศกว่า 709,312 ตารางเมตรที่กำลังก่อสร้างอยู่ และคาดว่าจะสร้างเสร็จภายในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2024 ถึงปี 2028 มากไปกว่านั้นในอนาคตยังมีพื้นที่อีกกว่า 800,000 ตารางเมตรที่คาดว่าจะพัฒนาตามมา ซึ่งการที่มี Supply เพิ่มขึ้นอัตราการว่างก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารสำนักงานเกรด B ในย่าน CBD กับ อาคารสำนักงานเกรด A ที่เป็นตึกเก่าในตำแหน่งที่ไม่เป็นที่ต้องการ เป็นต้น

 

อีกประเด็นที่สำคัญสำหรับตลาดอาคารสำนักงาน คือ กระแสของอาคารสีเขียว ที่ในปัจจุบันอาคารสำนักงานยังคงให้ความสำคัญกับ อาคารเขียวเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตในการทำงาน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาคารสำนักงานใหม่ๆที่เกิดขึ้นก็มักจะพัฒนาให้เป็นไปตามมาตรฐานต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้เช่า นักลงทุน และทำอัตราเช่าได้สูง ยกตัวอย่างเช่น มาตรฐาน LEED, WELL และ Fitwel เป็นต้น

 

ดังนั้นสำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์กลุ่มประเภทใดก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่ไม่ต่างกัน คือ ทุกประเภทอสังหาริมทรัพย์ต้องมีการปรับตัวให้ทันยุคทันสมัย และต้องสามารถตอบโจทย์การใช้งานของคนในยุคปัจจุบันได้ อย่างเช่นอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการหดตัวอย่างต่อเนื่อง จากการขาดกำลังซื้อ Developer หลายๆรายจึงเริ่มมีการเปิดตัวเพื่อหาฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงการพัฒนาโครงการในย่านชานเมืองเพื่อเน้นประหยัดต้นทุน นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการเลือกทำเลในการพัฒนาที่กำลังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ อย่างการสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีชมพู เป็นต้น และมากไปกว่านั้นเรื่องที่ยังคงเป็นเทรนด์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วจนมาถึงปีนี้ ก็คือเรื่อง Sustainability หรือการพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และลด Waste ให้ได้มากที่สุด ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ทุกๆประเภทยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่

 

สุดท้ายฝากคำแนะนำจาก (SCB EIC) เอาไว้นิดนึง ประเด็นข้อควรระวังที่ควรจะต้องคำนึง
– อย่างแรก คือ การพัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง อย่างเช่นตลาดที่อยู่อาศัยก็ควรกระจายการลงทุนในที่อยู่อาศัยหลากหลายระดับราคามากขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลาย รวมไปถึงการขยายตลาดสู่ผู้ซื้อชาวต่างชาติ
– อย่างที่สอง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด โดยเน้นที่ตัวสินค้าและบริการเป็นหลัก ลด Pain Point ของลูกค้า และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน เพื่อลดการใช้แรงงานเป็นต้น
– อย่างที่สาม การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาอัตรากำไร อย่างเช่น การนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดขั้นตอนการก่อสร้าง จะช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

อ้างอิง:
คาดการณ์เทรนด์อสังหาฯที่น่าสนใจในปี 2024-2025 | propholic.com คาดการณ์เทรนด์อสังหาฯที่น่าสนใจในปี 2024-2025 propholic.com
– CBRE: Bangkok Overall Q3 2024
– SCB EIC: แนวโน้มอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัย (24 OCT 2024)
– กรุงเทพธุรกิจ: ส่อง 7 เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ ดาวรุ่ง
– The Standard: คนทั่วโลกไม่ได้มองบ้านเป็นแค่ที่อยู่อาศัยแล้ว (2024)
– กรุงศรี: แนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรม 2567-2569
– ศูนย์วิจัยกสิกรไทย: รายได้ธุรกิจโรงแรม และที่พัก
– ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์: สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย 2567-2568

ชยางกูร กิตติธีรธำรง

ชยางกูร กิตติธีรธำรง

สถาปนิกจบใหม่ กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโท มีความสนใจด้านอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทตั้งแต่ที่อยู่อาศัย ออฟฟิศ คอนโด โรงแรม และชอบไปดูโครงการและงานออกแบบอยู่เสมอ เพื่อเก็บเกี่ยวองค์ความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ

เว็บไซต์

นิว เอปิค อโศก-พระราม 9

นิว คอร์ คูคต สเตชัน

ศุภาลัย แกรนด์ เอสเซ้นส์ อรุณอมรินทร์

ทำเลฝั่ง “ธนบุรี” ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง...

6 November, 2024

ศุภาลัย ธาม เจริญนคร

เป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ของศุภาลัย ที่เป็นผู้เชี่ย...

2 November, 2024

นิช ไพรด์ เอกมัย

Unimaginable Life ชีวิตเกินจินตนาการใจกลางเอกมัย หาก...

21 October, 2024

ศุภาลัย บลู สาทร-ราชพฤกษ์

ทำเลสถานีบางหว้า คือสถานี Interchange สำคัญของชาวฝั่...

17 October, 2024

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง