ภาวะตลาดที่อยู่อาศัย 2566-2567 ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม
ธุรกิจที่อยู่อาศัยในปี 2560-2561 ถือได้ว่ามียอดขายในระดับสูงประมาณ 290,000-310,000 ล้านบาทต่อปี ธนาคารแห่งประเทศไทยเกรงว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ที่รุนแรง จึงได้กำหนดมาตรฐาน LTV ขึ้นในปีถัดมา ยอดขายในปี 2562 จึงลดลงมาเหลือระดับราว 220,000 ล้านบาท หลังจากนั้น เกิดการระบาดของโควิดในปี 2563-2564 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่ขายได้ลดลงเหลือ 65,000-67,000 จากที่เคยอยู่ในระดับราว 100,000 หน่วยต่อปีตามภาวะปกติทั่วไป แต่ว่ามูลค่าการขายกลับไม่ได้ลดลง แต่ยังคงอยู่ในระดับ 220,000 ล้านบาท ผู้ประกอบการเพียงแต่ลดปริมาณสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดลงบ้างตามความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น. ตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยเป็นตัวเงินของบริษัทอสังหารมทรัพย์ 10 แห่งแสดงในรูปที่ 1
ปี 2565 เป็นปีที่ผู้ประกอบการกลับมาระดมทำธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบโดยการเพิ่มปริมาณสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดจากราว 60,000 หน่วยในปี 2564 เป็น 107,000 หน่วยในปี 2565 ดังแสดงในตารางที่ 1 สถานการณ์การขายที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ปี 2564-2566 สินค้าที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นมากได้แก่ บ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่าเท่าตัว และแล้ว Say’s Law ทางเศรษฐศาสตร์ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือ Supply Creates Its Own Demand เมื่อผู้ประกอบการเพิ่มปริมาณสินค้าออกสู่ตลาดก็ต้องพยายามทำตลาดให้ขายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอนโดมิเนียมที่มีสัดส่วนสินค้าที่ขายได้/สินค้าใหม่ มีระดับสูงถึง 46% อาจจะไม่ได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ที่สูงถึง 61% ในปี 2555 แต่ก็สูงสุดในรอบเกือบ ๆ 10 ปี ในขณะที่สัดส่วนขายได้โดยรวมของตลาดคอนโดมิเนียมโดยรวม (สินค้าใหม่และเก่ารวมกัน) มีเพียง 37%
ปีนี้ หรือปี 2566 ได้แสดงให้เห็นว่า ปริมาณสินค้าใหม่ในปี 2565 นั้นเกินความพอดี สินค้าทุกประเภทยกเว้นบ้านแฝดมีปริมาณสินค้าใหม่โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ลดลงหลายสิบเปอร์เซนต์จากปี 2565 นี่แสดงว่ากำลังซื้อที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอกับการดูดซับปริมาณสินค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น ตัวเลขสัดส่วนสินค้าใหม่ที่ขายได้/สินค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น ลดลงชัดเจนทุกประเภทสินค้า แต่ว่าสัดส่วนสินต้าใหม่ที่ขายได้ยังคงเท่ากับหรือสูงกว่าตลาดโดยรวมของสินค้าแต่ละประเภท ยกเว้น ทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการพึงระวัง