บ้านหรู ดูยังไง?
ต้องบอกก่อนเลยว่าบทความนี้จะเป็นบทความที่ชี้ให้เห็นในมุมมองของเราว่าทุกวันนี้ตลาดบ้านเดี่ยวหรูที่มีระดับราคาตั้งแต่ 30 ล้านบาท ไปจนถึงเกิน 100 ล้านบาท มีการพัฒนากันมากขึ้น ซึ่งต่างคนก็ต่างเคลมว่าโครงการของตนเองนั้นเป็นบ้านหรู จนเกิดปรากฏการณ์ของการใช้คำว่าหรูฟุ่มเฟือยมาก ซึ่งในมุมมองของเราปัจจัยที่จะพิจารณาว่าบ้านนั้นมีความหรูหราจริง หรือหรูแค่คำพูดมีมากกว่าแค่ในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ขนาดพื้นที่ดินและพื้นที่ใช้สอย รวมไปถึงสเปควัสดุ แต่จากประสบการณ์ของเราพบว่าองค์ประกอบของคำว่าหรูหรานั้นมักจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันเอง ซึ่งถ่ายทอดออกมาให้เป็นรูปธรรมผ่านฟังก์ชันการใช้งาน และงานดีไซน์ที่มอบความสะดวกสบายสูงสุดในแบบที่หาได้ยากจากที่อื่น จนเกิดเป็นประสบการณ์การพักผ่อนอันพิเศษที่ตอบรสนิยมและสถานะทางสังคมของเจ้าของบ้านมาที่สุด ซึ่งหากมองในภาพรวมก็มักจะมีองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้
1. ทำเลที่ตั้งอยู่กลางเมือง ติดกับ Magnet ชั้นนำของย่านนั้นๆ ไม่มีโครงการใดๆ สามารถขึ้นมาได้ในระยะใกล้เคียง เรียกได้ว่าเป็นโครงการหรูเพียงหนึ่งเดียวในย่านนั้นๆ อยู่ในทำเลที่มีราคาที่ดินสูง แต่ไม่ลำบาก เพราะเป็นทำเลที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบโครงการ ซึ่งหากเป็นที่อยู่อาศัยแนวสูงแบบคอนโดมิเนียม ก็จะนิยมอยู่ในย่าน CBD ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของการเดินทาง และไลฟ์สไตล์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
2. ขนาดของพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่ต้องสามารถอยู่ร่วมกัน ใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างเป็น Multigeneration จริงๆ โดยมักจะมีขนาดตั้งแต่ 500 ตารางเมตรขึ้นไป เพื่อให้สมาชิกภายในบ้านทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ พร้อมทั้งพื้นที่ส่วนรวมภายในบ้านที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกันได้
3. เน้นคุณภาพมาตรฐานในการก่อสร้างและวัสดุที่เหนือกว่า บนจำนวนยูนิตที่ค่อนข้างน้อย ดั่งอยู่ในสังคมคุณภาพที่ผ่านการคัดสรรค์แล้ว เป็นสังคมในหมู่บ้านที่มีความน่าอยู่ บ้านทุกหลังมี Activity และ Lifestyle ที่คล้ายๆ กัน เช่น นักธุรกิจ เจ้าของกิจการ และผู้บริหาร เป็นต้น
4. รูปแบบการดีไซน์ การเลือกใช้วัสดุ ที่นอกจากจะมีความสุขใจที่ได้อยู่ มีความทนทาน มีเอกลักษณ์ เป็น Timeless แล้ว ก็ยังต้องสร้างความภูมิใจให้กับตัวผู้เป็นเจ้าของ สามารถเชิญแขก เชิญเพื่อนมาเยี่ยมบ้านได้อย่างภาคภูมิใจ สะท้อนตัวผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี หลายคนอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า “บ้านเลือกคน” ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบ้านและผู้อยู่อาศัยนั้นมีความคล้ายคลึงกัน
5. การบริหารงานนิติบุคคลที่ครอบคลุมในทุกมิติของการบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ Concierge Services เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ให้กับลูกบ้านภายในโครงการ ไม่เพียงแค่จะได้รับความสะดวกสบายเท่านั้น แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในโครงการแล้วต้องได้รับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยสูงสุดอีกด้วย
ข้อมูลจากไนท์แฟรงค์ ชี้ตลาดอสังหาฯ ไตรมาสแรกฟื้น ได้ให้ข้อมูลในเรื่องของบ้านหรูจากผลสำรวจบ้านระดับบนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่าบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทถึง 100 ล้านบาทขึ้นไป มียอดขาย 19,476 ยูนิต คิดเป็นยอดขาย 79.2 เปอร์เซ็นต์ จากทั้งหมด 24,602 ยูนิต ทั้งนี้ อัตราการขายจะลดลง 3.9 เปอร์เซ็นต์จากครึ่งแรกของปี 2565 แต่ก็เพิ่มขึ้น 1.9 เปอร์เซ็นต์เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นสองเท่าของอุปทานที่มีเหลืออยู่
เพื่อชี้ให้เห็นว่าทิศทางการพัฒนา Luxury House เพิ่มมากขึ้นอย่างช้า แต่ต่อเนื่อง สวนทางกับทิศทางในการพัฒนาคอนโดหรู ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งคำถามที่ตามมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น มีโอกาสในการเกิด Over Supply ไหม/ ลูกค้ามีพฤติกรรมซื้อซ้ำหรือเปล่า/ สัดส่วนการซื้ออยู่เองหรือลงทุนอันไหนเยอะกว่ากัน/ คนรวยส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อบ้านหรูเพื่อทดแทน Super Luxury Condo กลางเมืองหรือเปล่า/ พัฒนาขึ้นเพื่อดึงกำลังซื้อจากกลุ่มคนต่างชาติที่เปิดบริษัทในไทยหรือเปล่า ฯลฯ
แม้จะมีบ้านหรูถูกพัฒนาขึ้นเยอะ โดยที่ส่วนใหญ่มักจะเปิดไล่เลี่ยกันบนทำเลเดียวกัน ซึ่งทำเลยอดฮิตของโครงการบ้านหรูที่เรามักจะเห็นกันก็จะเป็น พัฒนาการช่วงต้น กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พระรามเก้า หรือราชพฤกษ์ จนผู้ซื้อหลายคนเกิดอาการเลือกไม่ถูกว่าที่ไหนหรูจริง หรือหรูแค่ชื่อ เพราะองค์ประกอบโดยรวมมันก็ถูกต้องเข้าเกณฑ์ไปทั้งหมด ซึ่งโดยปกติแล้วหากเรา Zoom in ไปที่ Signature ในเรื่องของฟังก์ชันและงานดีไซน์ ที่ได้จากตัวบ้านก็จะพบข้อสังเกตที่ช่วยบ่งชี้ว่าถ้าจะซื้อบ้านหรูทั้งทีต้องมีสิ่งนี้
1. จำนวนยูนิตยิ่งน้อยยิ่งดี ทำให้ผู้อยู่อาศัยภายในโครงการรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว เนื่องจากมีจำนวนยูนิตน้อย ทำให้บรรยากาศภายในโครงการดูไม่วุ่นวาย เหมือนกับโครงการที่มีจำนวนยูนิตเยอะ แบบโครงการ QUARTER 31 มีเพียง 20 ยูนิต ฝั่งละ 10 ยูนิต บ้านหันหน้าเข้าหากันแต่มี Facilities กั้นอยู่ตรงกลาง ทำให้ทุกหลังมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
Mulberry Grove The Forestias Villas ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวจำนวน 37 หลัง โดยบ้านทุกหลังในโครงการจะไม่มีรั้วบ้าน แต่มั่นใจได้ด้วยระบบความปลอดภัยของโครงการฯ ทั้งหมด แต่ก็มีความเป็นส่วนตัวจากการวางผังบ้าน และการจัดแนวต้นไม้ที่กั้นพื้นที่ระหว่างแปลง
2. Double Gate Entrance ที่คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกบ้านอย่างสูงสุด ที่โครงการ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา มีการนำเอารูปแบบของงานสถาปัตยกรรม Italian Renaissance ในช่วงศตวรรษที่ 14 กลับมาใช้ใหม่ รวมถึงสถานที่สำคัญของนิวยอร์ก อย่าง Central Park และสะพาน Brooklyn มาไว้ในโครงการ มาพร้อมสี Brownstone อันสะดุดตา
Malton Gates มีประตูโครงการแบบ Double Gate เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านทุกหลังที่อาศัยอยู่ในโครงการ
3. Club House ขนาดใหญ่ หลากหลายฟังก์ชัน ตอบโจทย์การใช้งานของผู้อยู่อาศัย ที่ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา ส่วนของ Clubhouse ภายในโครงการ มีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor บนพื้นที่ 4 ไร่ เป็น Clubhouse ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบภายในให้ดูหรูหรา โอ่อ่า เปี่ยมไปด้วยสีสัน เป็นพิเศษ ตามสไตล์ Gilded Age Chic โดยเป็นอาคาร 2 ชั้น ที่เชื่อมต่ออาคารด้วย Sky Bridge
Mulberry Grove The Forestias Villas มี Clubhouse ขนาดใหญ่กว่า 1,000 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยโครงสร้างไม้คานดัดโค้ง Glulam ภายใต้แรงบันดาลใจจากศาลาไทย เชื่อมต่อไปยัง Creek และทางเดิน Canopy Walk หรือทางเดินยกระดับความยาว 1.6 กม. ที่มีความสูงอยู่ในระดับยอดต้นไม้ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินส่วนตัวเฉพาะลูกบ้าน
4. ให้ความสำคัญกับงาน Landscape โดย บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา เป็นโครงการมีแนวคิดการออกแบบสไตล์รีสอร์ทอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบบ้านในบรรยากาศที่ผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติ รอบโครงการและรอบบ้านมีพื้นที่สีเขียวเยอะ มองจากในบ้านออกมาด้านนอกก็สามารถเห็นสวนสวยได้เลย
5. มี Private Lift ในตัวบ้าน โดยโครงการ Malton Gates มีการออกแบบภายใต้แนวคิด The Gates to Well-Living ที่คำนึงถึงผู้อยู่อาศัย หากบ้านหลังไหนที่มีผู้สูงอายุหรือมีการใช้รถเข็นก็สามารถนำรถเข็นเข้าลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ของบ้านได้อย่างสบาย
โครงการ Mulberry Grove The Forestias Villas ซึ่งจากชั้นใต้ดินมีลิฟท์ที่เชื่อมขึ้นสู่ภายในตัวบ้านจนถึงชั้น 3 ที่เป็นชั้นบนสุดของบ้าน สะดวกต่อการขึ้น-ลง ชั้นบนสุด ล่างสุด
Quarter 31 ติดตั้งลิฟต์สำหรับโดยสารหรือใช้ขนของ เป็นลิฟต์แบรนด์ Schindler ซึ่งเป็นลิฟท์คุณภาพระดับเดียวกับลิฟท์ที่ใช้ในอาคารสำนักงานเกรดพรีเมียม
6. มีพื้นที่เพียงพอ และมีอุปกรณ์ให้ครบครันสำหรับครัวไทย และครัวนอก (Pantry) ที่ Malton Gates ให้ครัวนอก สำหรับทำอาหารเบาๆ หรือจัดเตรียมอาหารสำหรับปาร์ตี้ต่างๆ ทางโครงการให้ Island สำหรับเตรียมอาหารมาด้วย และครัวไทย ได้ Hob & Hood และ Sink โดยไม่ต้องต่อเติมครัวเพิ่มเลย