Propholic’s Best of 2022 รวมโครงการสุดประทับใจ ท่ามกลางปีที่ผู้พัฒนาแข่งกันทำสถิตินิวไฮ และแย่งกันขายบ้านหรู
“ปีนี้มีบ้านดีไซน์สวยๆให้เลือกเยอะมากเลย” ประโยคดังกล่าวน่าจะเป็นความเห็นส่งท้ายปี 2022 แบบสั้นๆของผมที่มีต่อภาพรวมของเทรนด์อสังหาฯในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่มีโครงการแนวราบเปิดใหม่เยอะมากจริงๆ โดยที่ทั้งหมดคือผลผลิตจากการปรับตัวของดีเวลลอปเปอร์ทุกรายตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 ต่อเนื่องปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนตระหนักดีกว่าโครงการแนวราบคือ Pain Killer เพียงขนานเดียวที่จะช่วยพยุงชีพจรของตลาดอสังหาฯไทย เพื่อรอวันที่ตลาดจะฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้งในปี 2023 นี้ โดยทั่วไปแล้วการพัฒนาโครงการแนวราบนั้นมากกว่า 80% ของผู้ซื้อก็คือกลุ่ม Real Demand ที่ต้องการซื้อเพื่อเข้าอยู่เลยในแบบ 3 – 6 เดือน ซึ่งก็แน่นอนว่ากลุ่มผู้ซื้อจึงมีจำนวนที่ค่อนข้างจำกัดกว่าโครงการแนวสูง หรือโครงการแนว Vacation Home ที่ครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้ซื้อจะไม่ได้อยู่เอง แต่จะเป็นนักลงทุนไม่ว่าจะขายต่อ ปล่อยเช่า หรือซื้อให้คนอื่น แต่ด้วยอานิสงค์ของการผ่อนคลายมาตรการเงินดาวน์ขั้นต่ำในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย หรือมาตรการ LTV (Loan to value) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะสิ้นสุดลงสิ้นปีนี้ จึงมีส่วนทำให้ดีมานด์ของตลาดแนวราบเกิดขยายตัวขึ้นมาในแบบปัจจุบันทันด่วน ซึ่งผมมองว่าไม่ใช่แบบ Organic Growth ที่ต้องมีการเติบโตล้อไปกับบริบทของเมือง การย้ายถิ่นฐาน สภาพเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และอัตราหนี้ครัวเรือน เนื่องจากมาตรการผ่อนคลาย LTV มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการกระตุ้น Impulse Purchasing ของผู้ซื้อที่พร้อมจ่าย หรือมีความสามารถในการกู้เงินธนาคารให้มาตัดสินใจซื้อโครงการแนวราบ เพื่อทดแทนโครงการคอนโดที่ตัวเองมีอยู่แล้ว ประมาณว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบันคอนโดอาจจะไม่ตอบโจทย์ในเรื่องของ Space และ Privacy เท่าที่ควร ไหนๆก็ไม่มี LTV แล้วก็ไม่ต้องใช้เงินสดเยอะในการวางดาวน์ก็เลยตัดสินใจซื้อบ้านเพิ่มเอาไว้ก่อน และค่อยตัดสินใจอีกทีว่าในอนาคตข้างหน้าจะ Exit ตัวไหนออก ในขณะที่กลุ่มคนที่ซื้อเพื่อลงทุนก็มองเห็นโอกาสจากเทรนด์ Home For Everything ว่าหากเป็นโครงการที่ทำออกมาถูกจริตคนซื้อ และมีจำนวนยูนิตไม่มาก ก็น่าจะทำกำไรจากการขายต่อได้ ในแบบที่ถ้าทุกอย่างเป็นใจก็สามารถเก็บกำไรเข้ากระเป๋าได้เร็วกว่าซื้อคอนโดเพื่อลงทุนอีก เนื่องจากผู้ซื้อ End User สามารถเห็นของและตัดสินใจซื้อได้ทันที ไม่เหมือนคอนโดที่จุดพีคในการขายรีเซลก็คือช่วงเวลาที่เราถือมาเนิ่นนาน 2 – 3 ปีจนเป็นรูปเป็นร่างใกล้เรียกโอนแล้ว จึงไม่แปลกที่ในปีนี้เราได้เห็นปรากฎการณ์ที่มีนักลงทุนหลายรายเข้าไปกว้านซื้อโครงการบ้านพร้อมอยู่เปิดขายใหม่ในรอบพรีเซลมากมายในแบบที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน [อันนี้คือคนละประเด็น คนละกลุ่มกับกลุ่มคนจีนธุรกิจสีเทาที่เข้าไปซื้อโครงการเพื่ออยู่เองเป็นหมู่คณะนะครับ] เพราะมันทำกำไรได้จริงๆ อีกทั้งกลยุทธ์ในการขายบ้านของดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างแตกต่างจากการขายคอนโดนะครับ กล่าวคือยิ่งขายใกล้หมดก็ยิ่งปรับราคาขึ้น ไม่เหมือนคอนโดที่ยิ่งขายเหลือล๊อตสุดท้ายก็ยิ่งขยันออกโปรโมชั่นปิดตึก เพื่อไปเน้นรอบขายรีเซลที่มีสารพัด Owner ประกาศขายหนีโอน ดังนั้นเราจึงเห็นว่าบางทีบ้านหลังที่อยู่ในมือของนักลงทุนนั้นมีราคาที่ถูกกว่าบ้านที่ยังเหลือขายอยู่เป็นล้านบาทเลย เพราะโครงการปรับราคาขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว [แต่หากเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่เกินกว่า 100 ยูนิตและมีคนซื้อลงทุนเยอะๆ ก้ต้องระวังหน่อยเพราะสถานการณ์อาจจะเป็นแบบการลงทุนคอนโดก็ได้เช่นกัน เนื่องจากยังไงดีเวลลอปเปอร์ก็ต้องไปเน้นยอดโอนมากกว่ายอดขายอยู่แล้ว]
ตลาดแนวราบที่ค่อนข้างฮอตและมีการปรับตัวในเชิงฟังก์ชันกับงานดีไซน์ให้โดดออกมาในแบบที่เราไม่ค่อยจะเห็นมาก่อนในรอบ 10 ปี ในมุมมองของผมจะแบ่งออกเป็น 2 เซกเมนท์ราคาครับ ก็คือกลุ่ม Mass ในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท กลุ่มนี้มักจะจับกลุ่มกำลังซื้อหน้าใหม่ และครอบครัววัยเริ่มต้น บนทำเลนอกเมืองแต่ใจกลางย่านชุมชน และมักจะใช้จุดขายในเรื่องของความเป็น Theme Residences ที่จำลองบรรยากาศของเมืองในฝันจากทั่วโลก ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนรุ่นใหม่ชอบไปกัน แต่ก็ต้องหยุดไปหลายปีเนื่องจากพิษโควิด ซึ่งก็ค่อนข้างจะเป็น Nostalgic Marketing หน่อยๆนะในความคิดผม โดยกลุ่มผู้นำแน่นอนว่าเป็นแสนสิริกับแบรนด์ “สิริเพลส” แบรนด์ทาวน์โฮมสร้างชื่อที่จับกลุ่มตลาด Young Generation มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย ผ่านรูปแบบของงานดีไซน์อันมีเอกลักษณ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจ 4 เมืองในฝันยอดฮิตที่เป็น “Dream Destination” ของคนรุ่นใหม่ อย่าง นิวยอร์ก – เกียวโต – ปารีส – อัมสเตอร์ดัม ครอบคลุมทุกทำเล ในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลผลิตที่มาจากการวางกลยุทธ์ที่เน้นการเปิดตัวโครงการใน Affordable Segment มีราคาเข้าถึงง่าย
แนวทางการพัฒนาในรูปแบบ Theme Residences แบบนี้เราก็ยังเห็นได้จากเจ้าพ่อคอนโดใกล้รถไฟฟ้าที่เพิ่งหันกลับมาจับกลุ่มตลาดแนวราบอีกครั้งกับแบรนด์ ANDA ที่นำแรงบันดาลใจ Design Concept แนวคิดการออกแบบโครงการมาจากประเทศฟินแลนด์ โดยเน้นไปที่ลักษณะเน้นความเรียบง่าย แต่มีรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน โดดเด่นในเรื่องของ Design ตามแบบฉบับ Scandinavian Design มีกลิ่นอายสไตล์ Nordic ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และขายในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2 ล้านปลายๆไปจนถึง 6 ล้านบาท
ส่วนอีกเซกเมนท์ก็จะเป็นราคาที่เกินกว่า 30 ล้านบาทขึ้นไปเลย ซึ่งก็ค่อนข้างชัดเจนว่าจุดขายของเค้าคือจำนวนบ้านที่ค่อนข้างน้อยไม่ถึง 100 ยูนิตต่อโครงการ มีดีไซน์ที่เน้นเอาความเป็นธรรมชาติมาแทรกผ่านตัวบ้านที่ออกแบบในสไตล์ Timeless แต่เลือกใช้วัสดุสมัยใหม่ มีพื้นที่และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานของทุกคนในครอบครัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็อยู่ร่วมกันได้หมด อยู่บนทำเลเมืองส่วนต่อขยาย (Extension Business District) เดินทางด้วยรถได้หลายเส้นทาง ชนิดที่ว่าซื้อแค่หลังเดียวอยู่ครบได้ทั้งครอบครัว แถมมีพ่อแม่มาช่วยออกเงินให้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตลาดก็คือ เอสซีแอสเสท แสนสิริ MQDC แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยิ่งบวกกับส่วนผสมสำคัญในเรื่องของกลยุทธ์การขายที่มุ่งเจาะกลุ่มนักลงทุนระดับ Top of Pyramid และใช้ Insight ในเรื่องของความต้องการในการหาบ้านใกล้ย่านโรงเรียนนานาชาติ ที่มีค่อนข้างมากในหมู่คนต่างชาติที่วางแผนเข้ามาซื้อบ้านหลังที่สองในไทย มาเป็น Key Message ในการขาย ก็ยิ่งทำให้เกิดกระแส Sold out ได้อย่างต่อเนื่อง
ในบรรดาโครงการบ้านจัดสรรระดับ Luxury ทั้งหมด ต้องบอกว่าบ้านริมทะเลสาบคือรูปแบบโครงการที่หาได้ค่อนข้างยากในตลาด เพราะผู้พัฒนาโครงการจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งในเรื่องของการออกแบบให้ถูกใจกลุ่มผู้ซื้อที่มีรสนิยมในการใช้ชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ และลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ซับซ้อนกว่าปกติ รวมไปถึงการเฟ้นหาที่ตั้งโครงการที่มีขนาดใหญ่มากพอที่จะเนรมิตโครงการให้ได้บรรยากาศราวกับเมืองริมทะเลสาบชั้นนำในต่างประเทศบนทำเลที่มีศักยภาพในเมืองเดินทางสะดวก แต่สำหรับดีเวลลอปเปอร์อย่างพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เรื่องดังกล่าวดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก เพราะการพัฒนาบ้านหรูริมทะเลสาบคือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของบริษัทฯในแบบที่หาใครมาเทียบด้วยยากจริงๆ จากผลงานในการพัฒนาโครงการแนวนี้อย่างต่อเนื่องแทบทุกปี โดยในปีนี้ทาง PF ได้พัฒนาบ้านริมทะเลสาปให้มีราคาถูกลงเพื่อจับกลุ่มตลาดกว้างขึ้นกับในราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท กับบ้านรุ่นใหม่วิวทะเลสาบที่มีฟังก์ชันแบบบ้านญี่ปุ่น ที่เลค ฟอเรสต์ ราชพฤกษ์ตัดใหม่
ทั้งนี้หากเราอ้างอิงตัวเลขในแบบที่ไม่ตัดสินจากความรู้สึกจากหน่วยงานวิจัยภาคเอกชนก็จะพบว่า ตลาดแนวราบที่มีราคาขายเกินกว่า 20 ล้านบาท ในปีนี้นั้นมีการเปิดใหม่สูงที่สุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว โดยคุณภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสารคอลลิเออร์ส ประเทศไทย ระบุว่า ครึ่งปีแรก 2565 มีซัพพลายบ้านหรูราคามากกว่า 20 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการขาย ทั้งสิ้น 2,833 ยูนิต โดย 84.25% มาจากผู้พัฒนารายใหญ่ ซึ่งมี บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครองตลาด ตามมาด้วย บมจ.แสนสิริ 22.34 % และ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่ 21.92% ทั้งนี้ บ้านระดับดังกล่าว มีการกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ แม้แต่ในกรุงเทพชั้นใน อีกทั้ง ทิศทางบ้านหรูในซอย และไซส์เล็ก มีแนวโน้มมากขึ้นอีกด้วย “อัตราการขายเฉลี่ยรวมตลาดบ้านหรู อยู่ที่ประมาณ 57.64 % หรือ ขายไปแล้วราว 1,633 ยูนิต ขณะนี้มีหน่วยรอขาย 1,200 ยูนิต หรือ 4.2 หมื่นล้านบาท” และคาดการณ์ซัพพลายเปิดขายใหม่ในปีนี้มีแนวโน้มสูงกว่า 1,000 ยูนิต เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี (ที่มา: นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 15 – 17 ก.ย. 2565)
เมื่อตลาดแนวราบเป็นตัวเร่งสำคัญให้เกิดจุดเปลี่ยนในวงการอสังหาฯยุคโควิดจากที่เดินไปทางไหนก็เจอแต่หุบเหวและทางตัน ไปสู่การขุดอุโมงค์เพื่อเปิดสู่ทางออกใหม่ ก็เลยส่งผลให้ในปีนี้ดีเวลลอปเปอร์ระดับ Top 10 ชื่อคุ้นหูทั้งหลาย ที่มีที่ดินพร้อมมากที่สุดพัฒนาโครงการแนวราบล้วนแต่สร้างสถิติยอดขาย ยอดโอนในแบบนิวไฮ สวนกระแสเศรษฐกิจไปซะหยั่งงั้นเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นแสนสิริ ที่คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ ออกมาเผยว่าในปีนี้บริษัทมียอดขายที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 38 ปีนับแต่มีการก่อตั้งบริษัท จากการคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างยอดขายในปี 2565 ได้ถึง 50,000 ล้านบาท หลังยอดขายรอบ 11 เดือนที่ผ่านมาพุ่งสูงถึง 46,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการแนวราบ 31,300 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 14,700 ล้านบาท โดยเฉพาะไตรมาส 3/2565 สร้างผลงานที่โดดเด่นมียอดขายล่าสุดสูงถึง 18,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 200% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเติบโตกว่า 153% จากไตรมาส 2/2565
หรือเอพี ที่ปิดไตรมาส 3 ด้วยการทุบสถิติสร้างนิวเรคคอร์ดได้อีกครั้ง ด้วยยอดขายสุทธิ (Net Presales) มากถึง 37,455 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 75% ของเป้ายอดขายที่วางไว้ทั้งปีที่ 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายจากสินค้าแนวราบสูงถึง 28,926 ล้านบาท
เช่นเดียวกับบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เปิดเผยถึงผลความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจในรอบ 9 เดือนปี 2565 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 14,329 ล้านบาท เติบโต 6% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2564 เป็นรายได้จากการดำเนินงาน 14,275 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้การขาย 95% อีก 5% เป็นรายได้ค่าเช่าและบริการ โดยรายได้หลักจากการขาย 13,593 ล้านบาท มาจากรายได้นิวไฮของสินค้าบ้านแนวราบ 12,202 ล้านบาท เติบโต 15% เทียบปีต่อปี กับรายได้จากแนวสูง 1,391 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,621 ล้านบาท เติบโต 9% เทียบปีต่อปี โดยมียอดขายรวมทำนิวไฮ 17,182 ล้านบาท เติบโต 7% เทียบปีต่อปี
และอีกบริษัท Top 10 ที่น่าจับตาในเรื่องของความต่อเนื่อง และความสามารถในการพัฒนาโครงการต่างจังหวัดมากที่สุดก็คือ ศุภาลัย ที่ผลงาน 9 เดือนเติบโตโดดเด่น กวาดกำไรสุทธิสูงสุด 6,002 ล้านบาท โตกว่า 43% และรายได้รวมมากถึง 25,455 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% โดยมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 23,016 ล้านบาท ณ 30 กันยายน 2565 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2565 จำนวน 7,267 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 15,749 ล้านบาทในปี 2566 และ 2567
จากกระแสฮอตฮิตของโครงการแนวราบ และความสามารถในการทำกำไรของดีเวลลอปเปอร์ตัวท๊อปทั้งหลาย ก็เป็นหลักประกันได้ว่าแรงกระเพื่อมนี้จะถูกส่งต่อไปยังดีเวลลอปเปอร์รายอื่นๆให้เร่งพัฒนาโครงการที่ตอบเทรนด์ของกลุ่มกำลังซื้อหน้าใหม่เจนใหม่ที่กำลังจะกลายเป็นฐานลูกค้าหลักในตลาดออกมา รวมไปถึงกลุ่มผู้คนที่ยังคงมองว่าการซื้อบ้านคือการซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ และเป็น Safe Heaven ในการลงทุนที่ดีกว่าสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหลายในปี 2023 ที่กำลังจะถึงนี้ครับ ยิ่งเมื่อรวมกับการกลับมาอีกครั้งของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สิ้นปีนี้น่าจะแตะหลัก 10 ล้านคน และเข้าสู่ช่วงเริ่มฟื้นตัวในปีหน้าที่จำนวน 20 – 24 ล้านคน ตามการคาดการณ์ของททท.ก็น่าจะทำให้ธุรกิจอสังหาฯและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงค์ตามไปด้วยอย่างแน่นอน โดยทาง CBRE ประเทศไทย ก็ได้ชี้ให้เห็นว่ายังไงการซื้ออสังหาฯไทย เพื่อใช้ชีวิตในไทยก็ยังคงมีเสน่ห์ในสายตาชาวต่างชาติ ทั้งเรื่องของราคาต่อตรม.ที่ถูกกว่าฮ่องกงถึง 5 เท่า ถูกกว่าสิงค์โปร์ 3 เท่า และถูกกว่าเซี่ยงไฮ้ 2.5 เท่า และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ถูก ได้สิทธิ์ในการครอบครองอาคารชุดถึงสัดส่วน 49% มีสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกระดับราคาที่ตอบสนองต่อชาวต่างชาติ มีรถไฟฟ้าขยายไปหลายเส้นทาง และมีโรงเรียนนานาชาติที่ได้มาตรฐาน โดยหากดูจากสถิติยอดขายของ CBRE เองก็จะพบว่ากำลังซื้อจากต่างชาติเริ่มจะกลับเข้ามามากกว่าปี 2020 แล้ว
อย่างไรก็ตามปี 2023 นี้ยังคงมีปัจจัยลบบางอย่างที่อาจจะเป็นตัวฉุดไม่ให้ตลาดไปไกลเกินกว่าที่คิด ทั้งจากมาตรการรัฐที่หมดไปในสิ้นปี 2565 เช่น การลดค่าโอน-จดจำนอง เหลือ 0.01% รวมถึงมาตรการผ่อนคลาย LTV ที่ทำให้คนซื้อบ้านหลังที่สองขึ้นไป และคนซื้อลงทุนอาจมีการชะลอการตัดสินในซื้อ เช่นเดียวกับ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอีก และราคาต้นทุนการก่อสร้างทั้งค่าวัสดุ ค่าแรงขั้นต่ำ และราคาที่ดินที่สูงขึ้น
ดังเช่นปีทุกๆปีครับ เวปพร็อพฮอลิคเราไม่ได้มีผู้อุปถัมภ์ หรือมีทรัพยากรมากมายในการลงทุนเพื่อจัดงานมอบรางวัลให้กับเหล่าโครงการน้อยใหญ่ต่างๆ ดังเช่น Publisher รายใหญ่อื่นๆครับ แต่อย่างน้อยเราก็เชื่อว่ามุมมองบางอย่างของเราน่าจะตรงกับความเป็นจริง และตรงกับใจของกลุ่มลูกค้าที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของโครงการนั้นไม่มากก็น้อย ช่วงใกล้ปีใหม่แบบนี้ ผมจึงขอนำเสนอบทความที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเรากับ PROPHOLIC’ Best of 2022 ซึ่งผมจะขอเรียกว่าเป็น “คำชื่นชม” ให้กับโครงการต่างๆที่ผมมองว่าเป็นโครงการที่มี Point of Different ที่ดีมากๆในสายตาของผมในรอบปีนี้มาให้ละกันครับ…มาเริ่มกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
1. คอนโดพร้อมห้องสไตล์ Loft ที่อยู่สบายมากที่สุด: Whizdom The Forestias Mytopia
หากถามว่ายูนิตรูปแบบไหนที่ได้รับความนิยมพัฒนาค่อนข้างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ก็คงจะเป็นยูนิตเพดานสูงสไตล์ Double Volume แต่ไม่ถึงกับเป็นห้อง Duplex ที่หลายคนเรียกกันติดปากว่าห้อง Loft ล่ะครับ หากเราพิจารณาในมุมมองของฝั่งผู้ซื้อ หรือผู้อยู่เอง ห้องไสตล์ Loft นั้นสามารถแก้ Pain Point ได้หลายอย่าง ทั้งในเรื่องของการขยายมิติของการใช้ชีวิตให้มากขึ้นผ่าน Volume of Space ด้วยพื้นที่แนวตั้งที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้บริเวณชั้นลอย เช่นเดียวกับพื้นที่เก็บของใต้บันได ในขณะที่มิติของ Volume of Living ก็มีความอยู่สบายมากกว่าคอนโดห้อง Simplex ปกติ ด้วยเพดานที่สูงโปร่ง บวกกับกระจกบานใหญ่ที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากกว่าคอนโด อีกทั้งยังมีความได้เปรียบมากกว่าห้องแบบ Duplex ตรงที่เก็บค่าส่วนกลางแค่ชั้นล่าง แต่หากเราพิจารณาในมุมมองของคนขาย หรือผู้พัฒนาแล้วก็ต้องบอกว่ามีหลายโครงการเลยที่ห้อง Loft ดูจะเป็น Product ที่แก้ Pain Point ของผู้พัฒนาในเรื่องความสามารถในการทำกำไรจากช่องโหว่ของข้อกำหนดในเรื่อง FAR และ Saleable Area มากกว่า อีกทั้งการคิดราคาขายของห้องรูปแบบ Loft ก็เป็นการคิดราคาในแบบที่เอาราคาขายต่อตรม.มาคูณกับพื้นที่ชั้นล่าง บวกกับพื้นที่ชั้นลอยเลย (ที่ส่วนใหญ่ไม่คิดพื้นที่รวมในโฉนดและรวมใน FAR จากการตีความให้เป็น “เฟอร์นิเจอร์ชั้นลอย” เพราะมีความสูงแต่ละชั้นไม่ถึง 2.4 เมตร และพื้นที่ชั้นลอยมีขนาดไม่ถึง 40% ของพื้นที่ห้อง) ซึ่งผมก็มองว่าถ้าเป็นแบบนี้ราคาต่อตรม.ของพื้นที่ “เฟอร์นิเจอร์ชั้นลอย” ก็ควรที่จะถูกกว่าพื้นที่ชั้นล่างนะ ไม่ใช่เป็นราคาที่เท่ากัน เพราะต้นทุนมันต่างกับการพัฒนาห้องแบบ Duplex หรือห้องแบบ Loft ที่คำนวณ Feasibility โดยอ้างอิงจาก FAR ที่แท้จริง…ซึ่งก็เป็นเรื่องที่บอกยากว่าโครงการนั้นๆจากตอบโจทย์ผู้ซื้อหรือผู้พัฒนามากกว่ากัน เพราะของแบบนี้มันตัดสินจากผลตอบรับของคนซื้ออย่างพวกเราเองนี่แหละ และผมก็คิดว่าปีนี้ห้อง Loft ที่โครงการ Whizdom The Forestias Mytopia คือ Product ที่ดีที่สุดครับ
Whizdom The Forestias Mytopia เป็นคอนโดเพื่อไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของคนรุ่นใหม่ ภายในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ เมืองต้นแบบแห่งใหม่ของโลกในการพัฒนาเมืองเพื่อสุขภาพและความสุข อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติกับผืนป่าขนาดใหญ่ 30 ไร่ ที่มีระบบนิเวศน์อันอุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาทุกโครงการที่พักอาศัยในประเทศไทย มีห้องพิเศษเป็นห้อง Loft เพดานสูงถึง 5.45 เมตร ที่เป็นครั้งแรกของ MQDC ในการพัฒนา [ทั้งตึกมี 80 ห้อง] ซึ่งเป็นห้องที่อยู่บริเวณชั้นกลางๆเหนือห้อง Forest Duplex Penthouse ขึ้นมา ให้ความรู้สึกเหมือนถูกผืนป่าอันร่มรื่นโอบล้อมอยู่ในทุกๆวัน
โดยความน่าสนใจที่เป็น The Best ของห้อง Loft ในมุมมองเรามีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องสไตล์ Loft ที่มีเพดานสูงมากที่สุดในตลาดถึง 5.45 ม โดยได้พื้นที่โฉนดทั้งบนและล่าง แถมบางห้องยังมี Powder Room ให้ที่ชั้นลอยด้วย [ห้อง Loft อาคารนี้เป็นห้องแบบ 1 Bed ทั้งหมด] แถมเรื่องของสเปคห้องนี่คือสุดๆตามมาตรฐาน MQDC ที่ใช้วัสดุดีมาก ที่สำคัญคือบานกระจกห้องนอนและห้อง Loft เป็น IGU 2 ชั้นมี Gap ตรงกลาง จะช่วยลดความร้อนและเสียงที่เข้าสู่ภายในห้องได้ดีเยี่ยม ผนังห้องเป็น Double Wall หนา 20 mm. สำหรับ 2 อาคาร และอาคาร Petopia หนา 25 mm
โดยอีกจุดโดดเด่นของโครงการคือความสูงจากพื้นดินของตัวอาคารที่เอื้อให้มองเห็นพื้นที่ทั้งหมดของผืนป่า สร้างประสบการณ์พื้นที่สีเขียวตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่โครงการในแบบที่ไม่เคยสัมผัสจากที่ใดมาก่อน และด้วยโครงสร้างของอาคารที่ถูกยกให้อยู่เหนือฐานของโพเดียม ทำให้มองดูเหมือนลอยอยู่บนยอดไม้ โดยผู้อยู่อาศัยยังสามารถทำกิจกรรมต่างๆ อย่างมีความสุขกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากมายและครบครัน รองรับกิจกรรมสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ โดยชั้นบนของโพเดียมจะเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่พาดระหว่าง 2 อาคาร ทั้ง Destinia และ Mytopia มีพื้นที่สระว่ายน้ำและเครื่องเล่นสำหรับเด็ก พื้นที่พักผ่อนใกล้กับสระว่ายน้ำ สวนกลางแจ้ง ยิมในร่ม Pool Lounge และพื้นที่ในอาคารสำหรับเด็กๆ นอกจากนี้ façade ของอาคารยังเลือกใช้โครงเหล็กแบบเมกาเฟรมที่สูงกว่า 3 เท่า ซึ่งนอกจากจะให้ความรู้สึกไฮเอนด์แล้ว ยังช่วยป้องกันรังสีจากแสงแดดภายนอกเข้าสู่ภายใน และในส่วนทางเดินบริเวณล็อบบี้ลิฟต์ ยังออกแบบให้มีการระบายอากาศตามธรรมชาติอีกด้วย
โครงการขายแบบ Fully Fitted พร้อมเฟอร์นิเจอร์ Built-in ตู้เสื้อผ้า และชุดครัว ที่มีสเปคดีที่สุดใน Class มีการออกแบบตู้เสื้อผ้าลึกให้ถึง 70 ซม. เก็บกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้ บานกระจกบริเวณส่วนห้องนอนและห้องแบบ Loft เป็น IGU มีช่องอากาศตรงกลาง ช่วยลดความร้อนและเก็บเสียงดีเยี่ยม แอร์แบบ Cassette Type ฝังฝ้า ไม่มี CDU แอร์ที่ระเบียง ติดตั้งเครื่อง ERV พร้อมระบบกรองฝุ่น PM2.5 และ PM10 ให้ทุกห้อง รับประกันงานระบบประปา ไฟฟ้า โครงสร้าง การรั่วซึมยาวนานถึง 30 ปี Infinity Edge Pool เห็นวิวป่าแบบ Panorama ที่ชั้น 7 พร้อมระบบวารีบำบัดด้วยน้ำร้อนและน้ำเย็น
อ่านบทความรีวิวทั้งหมดอีกครั้งที่นี่ https://bit.ly/3SlI80N
2. The Best Affordable 2 Bedroom 2 Bathroom Layout of the year 2022: LIFE สาทร เซียร์รา
LIFE สาทร เซียร์รา เป็นโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ LIFE ที่มีราคาขายดีที่สุดในรอบหลายปี และดีที่สุดของทำเลตลาดพลู ติดถนนใหญ่และห่างจาก BTS สถานีตลาดพลู เพียง 150 ม. อยู่ในย่านตลาดพลูที่ขึ้นชื่อในเรื่องอาหาร เป็นไชน่าทาวน์แห่งแรกของฝั่งธนฯ และยังเป็นย่านที่มีปริมาณ Supply คอนใหม่เหลือค่อนข้างน้อย เป็นย่านที่มีคนเข้ามาอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อย่าน CBD อย่างสีมลม สาทร ได้สะดวกด้วยรถยนต์ส่วนตัว สามารถเดินไปห้างเดอะมอลล์ท่าพระได้สบาย เหมาะกับการปล่อยเช่ากลุ่มนักศึกษาและวัยทำงานที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า โครงการเน้นรูปแบบห้องที่ตอบโจทย์ Real Demand กลุ่มคนทำงานในย่าน CBD ด้วยรูปแบบห้อง 1 Bedroom ขนาดเริ่มต้น 28 ตารางเมตร ใช้เงินไม่ถึง 3 ล้านก็เป็นเจ้าของได้ง่ายๆ หรือจะซื้อลงทุนปล่อยเช่า ก็ค่อนข้างได้เปรียบกว่าโครงการที่เก่ากว่า ด้วยเลย์เอาท์ห้องที่กว้างกว่า ดีกว่า ในราคาที่น่าซื้อมากกว่าพร้อมทั้งเป็นโครงการระดับไฮเอนด์ที่มี Super Facilities ใหญ่กว่า 5 ไร่ จัดเต็มมากกว่า 30 ฟังก์ชัน และพื้นที่สีเขียวกว่า 6,400 ตารางเมตร มากที่สุดในย่านตลาดพลู โดยพื้นที่ส่วนกลางได้รับแรงบันดาลใจจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันโดดเด่นจาก 6 ประเทศทั่วโลก ให้คุณได้ดื่มด่ำกับสุดยอดวิวที่ Sky Facilities บนชั้น 40 พื้นที่รวมกว่า 1,600 ตารางเมตร สูงที่สุดในย่านตลาดพลู นอกจากจะเป็นคอนโดใกล้รถไฟฟ้าเพียงไม่กี่แห่งในเขตกทม.ชั้นในที่มีห้องราคาถูกกว่า 3 ล้าน ให้เลือกแล้ว ที่นี่ยังมีห้องแบบ 2 Bedroom ขนาด 57.5 ตารางเมตร กั้นห้องเป็นสัดส่วน ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ และมีห้อง Storage ที่ใช้เก็บเครื่องซักผ้า เป็นห้องที่มีระเบียง 2 จุด คือ ระเบียงดูวิว และระเบียง Service อยู่หลังครัวที่ใช้เก็บ CDU แอร์ ห้องน้ำแบบ Double Access และ Master Bedroom มีกระจกเข้ามุมดูวิวได้กว้างไกลกว่าห้องอื่นๆ ให้แอร์ 3 ตัว
ห้อง 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำที่นี่ไม่ได้มีจุดขายที่ความกว้างใหญ่ของห้องครับ เพราะเอาจริงๆ คือปกติแล้วในคอนโดทั่วไป ห้องขนาดใหญ่แบบ 2 ห้องนอนขึ้นไปก็มักจะออกแบบมาได้กว้างขวาง ดูดีกว่าห้องเล็กอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่มันก็จะเหมือนกับการเอายูนิต 1 ห้องนอนมา Combined กัน หรือไม่ก็เอา 1 ห้องนอนมา Combined กับสตูดิโอ เน้นไปที่ส่วน Living ที่กว้างเอาไว้ก่อน ส่วนครัวแบบ Enclosed Kitchen หรือครัวปิดเต็มรูปแบบนั้น ส่วนใหญ่เราก็มักจะเห็นจากห้องแบบ 2 ห้องนอนที่มีขนาดเกินกว่า 70 ตรม.ขึ้นไป ซึ่งเอาจริงๆ คอนโดสมัยใหม่แม้จะเป็นขนาดเกิน 100 ตรม.ยังไม่ให้ครัวปิดเลย ถ้าจะหาครัวปิดก็ต้องไปหาจากห้อง Penthouse หลายร้อยตรม.ที่มักจะทำครัวไทยในห้องแม่บ้าน ซึ่งนั่นก็คือปิดจริงๆ แบบระบายอากาศไม่ได้!
แต่ห้องนี้มีขนาดแค่ 57.5 ตรม. ถือว่าเป็น 2 นอนที่ขนาดกำลังพอดี ยิ่งคิดราคาเฉลี่ยที่ราวๆ ตร.ม.ละแสนหรือต่ำกว่านี้ก็จะพบว่าใช้เงินน้อยมากๆ เลยในการซื้อห้องเลอค่าแบบนี้ โดยสิ่งที่ยากจะเห็นได้จาก 2 ห้องนอนในขนาดเดียวกันจากที่อื่นก็คือ ส่วนห้อง Living แบบหน้ากว้างที่แยกห้อง Laundry และห้องเก็บของไว้อีกฝั่งเลย เป็นระเบียบดีมากๆ มีระเบียงให้ถึง 2 ระเบียง คือส่วนติดห้องนั่งเล่น และระเบียงซ่อนหลังห้องครัว ที่ใช้เป็น Private Balcony ตากผ้าแบบไม่มีใครเห็นได้สบาย และระเบียงนี้ยังสามารถถ่ายเทอากาศจากห้องน้ำใน Master bedroom ออกมาได้ด้วย ได้ครัวปิดติดอากาศแบบเปิดระบายได้จากระเบียงทั้ง 2 ฝั่ง แถมไม่ได้กั้นด้วยกำแพงปูนแต่เป็นการกั้นด้วยกระจกใส ทำให้ดึงแสงธรรมชาติเข้ามาได้ทั่วห้องและคนที่ทำอาหารอยู่ก็ยังสามารถดูทีวีได้สบายๆ ห้องน้ำในห้องนอนเล็กเป็นแบบ Double Access คนที่นอนในห้องนอนเล็กไม่ต้องเดินออกมาจากห้องผ่านห้องรับแขกเพื่อเข้าห้องน้ำ และห้องนอนใหญ่มีช่องแสงและการระบายอากาศดีมาก ได้กระจกเข้ามุมที่หัวเตียงอีก แนะนำว่าใครมองหาห้อง 2 นอน 2 น้ำภายในงบประมาณ 6 ล้านที่นี่คือใช่ที่สุด!
อ่านบทความรีวิวทั้งหมดอีกครั้งที่นี่ https://bit.ly/3Al67H2