การซื้อขายโรงแรมในไทยปี 64 มีมูลค่าทะลุ 1.3 หมื่นล้าน
คาดปีนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อมากขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศและภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
รายงานการศึกษาล่าสุดจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เผยว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา มีการซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้นในประเทศไทยรวม 23 โรง คิดเป็นจำนวนห้องพักรวมราว 3,000 ห้อง และมูลค่าการซื้อขาย รวม 1.32 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 550% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของมูลค่าการซื้อขายต่อปีในช่วง 10 ปีก่อนเกิดคิดระหว่างปี 2552-2562 อยู่ที่ราว 30%
การซื้อขายโรงแรมที่อยู่ในการศึกษาของ JLL ครั้งนี้ ครอบคลุมเฉพาะโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุน (investment-grade assets) ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ของไทย และไม่นับรวมการซื้อขายกันเองระหว่างบริษัทในเครือเดียวกันหรือเพื่อเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
นายจักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม JLL กล่าวว่า “วิกฤติการณ์โควิดทำให้ปริมาณการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยในปี 2563 ดิ่งลงเหลือมูลค่าเพียงไม่ถึง 2 พันล้านบาท อย่างไรก็ดี ในปีที่ผ่านมาตลาดการลงทุนซื้อขายกลับมาคึกคักมากขึ้นมาก โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมสูงกว่าปี 2563 ถึงเกือบ 6 เท่า”
“เราเริ่มเห็นนักลงทุนทั้งของไทยและต่างชาติกลับมาสนใจตลาดโรงแรมในประเทศไทยมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยหนุนหลายประการ อาทิ นักลงทุนมีทัศนคติที่เป็นบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในไทยไม่ได้รุนแรงเท่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า นอกจากนี้ การมีโรงแรมคุณภาพเหมาะสมสำหรับการลงทุนออกมาเสนอขายมากขึ้นในราคาที่ไม่ได้สูงเกินจริงยังเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นความสนใจของนักลงทุน” นายจักรกริชกล่าว
การศึกษาของ JLL พบว่า ตลาดโรงแรมของไทยที่มีการลงทุนซื้อขายเกิดขึ้นมากที่สุดในปีที่ผ่านมา คือ เกาะสมุย กรุงเทพฯ และภูเก็ต โดยมีมูลค่าการซื้อขายคิดเป็น 44.3% 24.6% และ 11.7% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตามลำดับ