CRC ผลประกอบการไตรมาส 2 โต 12% อัดกลยุทธ์ระยะยาว สร้างนิวไฮกลุ่มฮาร์ดไลน์ และออมนิแชนแนล
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผย เซ็นทรัล รีเทล ยังคงเดินหน้าธุรกิจต่อไปอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่รวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการทำธุรกิจในปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว พร้อมทั้งปรับโมเดลธุรกิจและพอร์ตโฟลิโอให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องตามเทรนด์ตลาด และความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจออมนิแชนแนล และกลุ่มฮาร์ดไลน์เติบโตสูงเป็นนิวไฮ จนสามารถสร้างรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมทั้งดันผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ของเซ็นทรัล รีเทล เติบโตขึ้น โดยมีรายได้รวม 46,376 ล้านบาท (+12% YoY) EBITDA 4,088 ล้านบาท (+218% YoY) และขาดทุนสุทธิลดลงเหลือ 426 ล้านบาท (+83% YoY)
สำหรับนิวไฮของธุรกิจเซ็นทรัล รีเทล ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ประกอบด้วย
1. การเติบโตอย่างมีศักยภาพของธุรกิจฮาร์ดไลน์ ที่นับได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่มีการก่อตั้ง เซ็นทรัล รีเทล มา โดยเติบโตเป็นอันดับหนึ่งจากทุกกลุ่มทั้งด้านรายได้รวม EBITDA และกำไรสุทธิ ทั้งยังมีสัดส่วนยอดขายเพิ่มสูงขึ้นจาก32% เป็น 39% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการทำตามกลยุทธ์เชิงรุกที่ได้ตั้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการควบรวม บมจ.ซีโอแอล (COL) ที่ทำให้ธุรกิจฮาร์ดไลน์สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่ม B2B รวมถึงการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องของไทวัสดุ ซึ่งได้เปิดให้บริการไปแล้ว 4 สาขาในปีนี้ และจะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาภายในสิ้นปี นอกจากนี้ยังเตรียมแผนที่จะขยายไทวัสดุไปยังประเทศเวียดนามอีกด้วย
2. การเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ๆ ของแพลตฟอร์มออมนิแชนแนล อาทิ บริการ Personal Shopper ผู้ช่วยช้อปส่วนตัวสำหรับลูกค้าทุกคน ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต, การเพิ่มจำนวนสาขาของท็อปส์ที่ให้บริการ ควิกคอมเมิร์ซ และการเปิดตัวแอปพลิเคชัน GO! ของธุรกิจฟู้ดในประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ยังเห็นความสำเร็จของCENTRAL App ซูเปอร์แอปพลิเคชันที่เป็น One-stop Shopping รวมสินค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล ครบจบในที่เดียว ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมบริการช้อปส่งไวถึงมือภายใน 3 ชั่วโมง โดยปัจจุบัน CENTRAL App มียอดดาวน์โหลดแล้วกว่า 2.7 ล้านดาวน์โหลด ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากการเปิดตัวครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2563