เผยกระแสการอยู่อาศัยในตัวเมืองของมหานครใหญ่ทั่วโลก ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวก ความปลอดภัยและสร้างความเป็นส่วนตัวสูงสุด ใกล้ชิดกับระบบนิเวศหรือสิ่งแวดล้อมสีเขียวมากขึ้น รวมทั้งยังต้องการที่พักที่มีชุมชนรอบข้างน่าสนใจในรัศมีที่สามารถเดินถึงกันได้ ในขณะเดียวกันต้องอยู่ใกล้ระบบสาธารณสุขเพื่อความอุ่นใจยามเจ็บป่วย โดยผู้บริหารดุสิต เรสซิเดนเซส ชี้การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่ควรตอบสนองคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในทุกๆ มิติเพื่อยกระดับของการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองยังคงเป็นที่ต้องการของกลุ่มผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย เพราะความสะดวกสบายทั้งในด้านการใช้ชีวิต การเดินทาง การอยู่ใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวก โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ ในยุคก่อน ทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองเพียงอย่างเดียวอาจจะชนะใจผู้บริโภคได้ แต่ในปัจจุบันนี้พบว่าไม่เพียงพออีกต่อไป จากการศึกษากระแสหรือเทรนด์ของความต้องการในการเลือกที่อยู่อาศัยในเมืองของผู้บริโภคนั้น ล้วนมองหาโครงการที่มี

1. เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวก ความปลอดภัยและสร้างความเป็นส่วนตัวสูงสุด

2. ความน่าสนใจของชุมชนรอบๆ โครงการในระยะที่เดินถึง

3. ระบบนิเวศสีเขียว และ

4. การเข้าถึงระบบสาธารณสุขอย่างรวดเร็ว

เรื่องของเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกสำหรับการอยู่อาศัยนั้น เป็นสิ่งที่ผู้พักอาศัยคาดหวังจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว แต่ยิ่งไปกว่านั้นจะพบว่าผู้บริโภคกลับมองหาในสิ่งที่ไม่ใช่ทุกโครงการจะมีให้ได้ นั่นคือบริบทรอบๆ ที่อยู่อาศัยต้องน่าสนใจ (Attractive Neighborhood) ที่ตอบรับการใช้ชีวิตอย่างหลากหลายรูปแบบ ที่สำคัญคือต้องอยู่ในระยะเดินถึง (Walking Distance) อีกด้วย

จากการศึกษาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในออสเตรเลียระบุว่าในกระแสการระบาดของโควิด-19 พบว่าที่พักอาศัยระดับสูงใจกลางเมืองมียอดขายที่สูงขึ้นเพราะคนต้องการที่พักอาศัยที่อยู่ใกล้กับร้านอาหารหรือร้านทำผมที่สามารถเดินไปได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพึ่งพารถยนต์หรือรถสาธารณะ

สำหรับระบบนิเวศหรือสิ่งแวดล้อมสีเขียว (Ecological Need) เป็นอีกกระแสหนึ่งที่โครงการที่พักอาศัยในเมืองจะลืมไม่ได้ในยุคนี้ เรียกได้ว่าเป็นความโหยหาการเข้าถึงธรรมชาติที่จะช่วยบำบัดเยียวยาความตึงเครียดจากการทำงานพร้อมๆ ไปกับการพักผ่อนท่ามกลางความร่มรื่นเพื่อเติมความสุขใจและยังสร้างสุขภาพกายอีกด้วย ข้อได้เปรียบของโครงการในเมืองที่ตอบสนองผู้อยู่อาศัยด้วยระบบนิเวศที่สมบูรณ์คือ การสร้างสมดุลระหว่างความสดชื่นจากธรรมชาติในขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งความสะดวกสบายที่คุ้นเคย ยกตัวอย่างเช่น โครงการฮัดสัน ยาร์ด (Hudson Yards) ในนิวยอร์คที่บูรณาการพืชพรรณต่างๆ เพื่อสร้างพื้นที่ในร่มที่ให้ผู้อยู่อาศัยเชื่อมต่อกับธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ และจากความตื่นตัวเรื่องสุขภาพนั้น ทำให้เกิดความต้องการที่จะอยู่ใกล้กับระบบสาธารณสุขให้มากที่สุดซึ่งแนวโน้มนี้จะยังคงอยู่แม้โรคระบาดจะสงบลงแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพราะทุกคนล้วนมีประสบการณ์และอยู่ในช่วงของการเกิดโรคระบาด

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยใจกลางเมืองระดับอัลตร้าลักชัวรี่ “ดุสิต เรสซิเดนเซส” และ “ดุสิต พาร์คไซด์” ชี้ว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันต้องตอบสนองคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในทุกๆ ด้านอย่างไม่มีข้อจำกัด

“การตั้งอยู่บนถนนสีลมของโครงการเรา ไม่เพียงแต่เป็นความสะดวกสบายในการเดินทางด้วยเป็นจุดเชื่อมกันของระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟใต้ดิน แต่ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยความคึกคักของร้านอาหารหลากหลายประเภททั้งสตรีทฟู้ด อาหารนานาชาติ บางร้านเปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน รวมทั้งยังมีร้านค้าต่างๆ ที่ตอบสนองกับการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งสามารถเดินได้ง่ายๆ จากโครงการ เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของถนนสีลมจริงๆ” นางศุภจีกล่าว

“สำหรับแนวโน้มเรื่องพื้นที่สีเขียวนั้น โครงการได้จัดสรรพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ สร้างเป็นสวนป่าบนดาดฟ้าขนาดใหญ่ที่ทุกรายละเอียดอย่างต้นไม้ที่เลือกปลูก การวางจังหวะของพื้นที่ให้ใช้งานได้จริง ผู้อยู่อาศัยจึงได้สัมผัสความร่มรื่นทั้งจากทัศนียภาพและสามารถเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ได้ ไม่เพียงเท่านั้น เรายังอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของเมืองคือสวนลุมพินี จากโครงการสามารถผ่านทางลอดรถไฟใต้ดินสู่สวนลุมพินีได้ง่ายดาย ที่น่าตื่นเต้นขึ้นคือการสร้างสะพานลอยฟ้าหรือสะพานสีเขียวของ กทม.ที่เชื่อมต่อสวนลุมพินีเข้ากับสวนเบญจกิติ ทำให้เกิดการเชื่อมโยงของสวนขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเข้าด้วยกันจนอาจเรียกได้ว่าเป็น Triple CBD Recreational Park”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวแสดงความมั่นใจว่าโครงการ “ดุสิต เรสซิเดนเซส” และ “ดุสิต พาร์คไซด์” โครงการที่พักอาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี่บนถนนสีลม จะสามารถตอบรับกับเทรนด์ของการอยู่อาศัยในเมืองยุคใหม่ได้อย่างแน่นอน