เริ่มอยากซื้อขึ้นบ้างไหม? กับมาตรการต่ออายุลดภาษีที่ดินและค่าธรรมเนียมโอนฯ จดจำนอง พร้อมแนะนำโครงการน่าสนใจในราคาต่ำสามล้าน
จากมาตรการล่าสุดที่ได้มีการประกาศมาจากคณะรัฐมนตรีที่ได้อนุมัติการลดอัตราจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 90% และให้จัดเก็บจริงแค่ 10% ครอบคลุมที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทุกประเภท รวมไปถึงการยืดจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2563 ซึ่งเดิมกำหนดสิ้นสุดยื่นวันสุดท้าย 31 มี.ค. 2564 ออกไปเป็นวันที่ 30 มิ.ย. 2564 และลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง ให้เหลือรายการ 0.01% โดยโครงการบ้านที่จะได้รับสิทธิต้องมีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ลดอัตราการจัดเก็บภาษี 90%
ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย
นายเอที่เป็นทั้งเจ้าของบ้านและเจ้าของที่ดิน (ในกรณีบ้านหลังหลักไม่ใช่บ้านหลังที่ 2) แต่ประเมินมูลค่ารวมกันไม่เกิน 50 ล้านบาท จะถูกยกเว้นภาษีในส่วนนี้ แต่ถ้าหากมีการประเมินราคาบ้านและที่ดินรวมกันได้ถึง 50 ล้านบาท นายเอต้องเสียภาษีอยู่ที่ 0.02% คิดเป็น 10,000 บาท
หรือถ้านายเอเป็นเพียงเจ้าของบ้านแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน (ในกรณีบ้านหลังหลักไม่ใช่บ้านหลังที่ 2) ที่ประเมินราคาได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท นายเอก็ไม่ต้องเสียภาษีในส่วนนี้เช่นกัน แต่นายเอจะถูกเก็บภาษีเฉพาะบ้านที่มีราคาสูงเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป อัตราเริ่มที่ 0.02% คิดเป็น 2,000 บาท ลด 90% เหลือจ่ายแค่ 200 บาท
แต่ถ้าเมื่อใดที่นายเอซื้อคอนโดไว้เป็นบ้านหลังที่ 2 ในราคา 3 ล้านบาท นายเอจะต้องเสียภาษีทุกระดับราคาเริ่มต้นที่ 0.02% คิดเป็น 600 บาท ลด 90% ต้องจ่ายจริงเพียง 60 บาทเท่านั้น
ที่ดินประกอบการเกษตร
นายซีเป็นบุคคลธรรมดาที่ถือครองที่ดิน จะได้รับการยกเว้นภาษี 3 ปีแรกยกเว้นภาษี ตั้งแต่ปี 2563-2565
ส่วนที่มีนิติบุคคลเป็นเจ้าของ แล้วประเมินราคาที่ดินได้ 5 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 0.01% คิดเป็น 500 บาท ลดราคา 90% จ่ายจริงเพียง 50 บาทเท่านั้น
ที่ดินรกร้างหรือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประกอบการพาณิชยกรรม
นายดีซื้อที่ดินมานานกว่า 10 ปี แต่ยังไม่มีแผนการพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ และปล่อยทิ้งร้างไว้ ซึ่งประเมินมูลค่าที่ดินได้ 5 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 0.03% คิดเป็น 1,500 บาท ซึ่งภาษีประเภทนี้จะเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปี รวมกันไม่เกิน 3%
ลดค่าธรรมเนียมโอนฯ และจดจำนองเหลือ 0.01%
สำหรับราคาบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นการช่วยเหลือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และลดค่าใช้จ่ายของคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย จะมีลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนอสังหาฯ และห้องชุดจากเดิม 2% ของราคาประเมินมูลค่าเหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์และห้องชุดจากเดิม 1% ของมูลค่าที่จำนอง เหลือ 0.01% ออกไปอีก 1 ปี เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก
ถ้าซื้อบ้านหลังละ 3 ล้านบาท ผู้ซื้อต้องเสียค่าโอนหารกับ Developer คนละครึ่ง จากเดิม 2 % ที่ต้องจ่าย 60,000 บาท จะตกคนละ 1% คือ 30,000 บาท แต่ตอนนี้ที่มีการปรับลดค่าโอนให้เหลือเพียง 0.01% ดังนั้นบ้าน 3 ล้าน ต้องจ่ายค่าโอนจำนวน 300 บาท นำมาหารคนละครึ่งจะอยู่ที่ 0.005% ตกคนละ 150 บาทเท่านั้น
ส่วนค่าจดจำนอง ผู้ซื้อต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด คือ บ้านราคา 3 ล้าน จากเดิมที่ต้องจ่ายค่าจดจำนองที่ 1% อยู่ที่ 30,000 บาท เมื่อปรับลดเหลือ 0.01% ผู้ซื้อจ่ายจริงเพียง 300 บาท สรุปผู้ซื้อบ้านต้องจ่ายทั้งค่าธรรมเนียมโอนฯ และจดจำนองทั้งหมดเพียง 450 บาทเท่านั้น
ภาพจาก : https://www.businesstoday.co/editor-pick/20/01/2020/21230/
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เริ่มทำความเข้าใจกับที่ดินประเภทต่างๆ ก่อนที่จะต้องเสียเงิน
พบว่ามาตรการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ ล้วนแต่เป็นมาตรการที่เป็นการต่ออายุมาจากปีที่แล้วทั้งนั้น ซึ่งจากสถิติที่ออกมาจากหลายสำนัก ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดอสังหาฯยังคงกู่ไม่กลับ และยังอยู่ในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่แล้วนั้นมียอดเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุเทพฯ และปริมณฑล ที่อ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบรวมกันเพียงแค่ 71,500 หน่วย โดยที่มีการคาดการณ์การเปิดตัวในปีนี้ในระดับที่สูงกว่าปีที่แล้วนิดหน่อยประมาณ 79,000 – 89,000 หน่วย อาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลงไปอีกก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของโควิด – 19 ในปัจจุบันนั่นเอง แต่ตลาดคอนโดได้รับผลกระทบเต็มๆ ยอดที่ลดลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงมาตกการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ไร้ประสิทธิภาพเพียงพอในการที่จะพยุงตลาดอสังหาฯ โดยรวมของทั้งประเทศ แต่ทำไมในปีนี้ทางคณะรัฐมนตรีจึงยังอนุมัติมาตรการที่เป็นเพียงแค่ยาชาออกมาเหมือนเดิมอีก
ภาพจาก : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/883674
ซึ่งมาตรการทั้ง 2 ข้อดังกล่าว ข้อแรกในเรื่องการลดภาษีที่ดินฯ นั้นแทบจะไม่มีผลอะไรต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคทั่วไป เพราะจัดเก็บในอัตราที่ไม่แพงอยู่แล้ว อีกทั้งผู้ประกอบการและ Landlord ก็ยังมีลู่ทางในการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อประหยัดภาษีที่แตกต่างกันออกไป โดยทิศทางของปีที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงปีนี้พบว่ามีผู้ประกอบการรายย่อยก็ทยอยตัดขาดที่ดินบางส่วนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่แล้ว ส่วนรายใหญ่ๆ ก็มีการพัฒนาโครงการในทันทีที่ได้ที่ดิน ในขณะที่ห้องที่เหลือขายของดีเวลลอปเปอร์ก็มักจะมีการตัดราคาขายในแบบที่เอากำไรน้อยมาก หรือไม่ได้กำไร เพื่อให้ได้กระแสเงินสดกลับคืนมาอยู่แล้ว จึงไม่เป็นภาระของดีเวลลอปเปอร์ในการเสียภาษีที่ดิน ในขณะที่มาตรการลดค่าโอนและค่าจดจำนอง ก็เป็นมาตรการที่ช่วยเหลือเพียงแค่ตลาดต่ำว่า 3 ล้าน ที่เป็นโครงการจัดสรรมือหนึ่งของผู้ประกอบการเท่านั้น ไม่รวมถึงกลุ่มบ้านมือสอง ที่ยังสามารถหาราคาต่ำกว่าสามล้านได้ ซึ่งมาตรการเหล่านี้น่าจะส่งผลบวกต่อ Developer ที่มีสินค้าต่ำกว่า 3 ล้าน อยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ต้องอย่าลืมว่าสินค้าในกลุ่มตลาดนี้มียอด Reject Rate ที่สูงที่สุด ซึ่งในปี 2563 มีสถิติสูงมากถึง 80% เนื่องด้วยผลกระทบจากโควิด – 19 ที่ยังระบาดมาอีกระลอก ทำให้หลายบริษัทมีมาตรการลดเงินพนักงาน, Work From Home หรือแม้กระทั่งหลายกิจการได้ปิดตัวลง จึงทำให้ธนาคารเพิ่มเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อ โดยนำปัจจัยความเสี่ยงของบริษัทเป็นองค์ประกอบหลักในการตัดสินใจให้ผ่านการกู้ ทำให้ผู้ประกอบการและ Real Demand ในกลุ่มตลาดนี้ แทบจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเท่าที่ควร ต่างกับกลุ่มตลาด High Value ที่ยังไม่มีปัญหาเรื่องกู้ธนาคาร หรือซื้อเงินสด เพียงแต่ว่าติดในเรื่องของเกณฑ์ LTV เท่านั้น
จากทิศทางดังกล่าว แน่นอนว่าทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ปรับกลยุทธ์ เพื่อที่จะพัฒนาสินค้าให้สอดรับกับกำลังซื้อส่วนใหญ่ของตลาด และให้สอดรับกับเกณฑ์ในการได้รับมาตรการ คือการพัฒนาสินค้าประเภท Mass Product ที่เป็น Affordable Price ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท โดยของ Noble ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่แบรนด์ NUE อย่างต่อเนื่อง ในราคาเริ่มต้นที่ 1.65 ล้านบาท โดยทั้งปีตั้งเป้าเปิดโครงการ NUE อย่างน้อย 3 โครงการเพื่อรุกตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ มูลค่าโครงการรวมมากกว่า 5,000 ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ NUE บนทำเลศักยภาพติดรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
และแสนสิริจะเปิดตัว Products ภายใต้แบรนด์ใหม่ เริ่มจากการเปิดตัว Affordable Condominium เซกเมนต์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ เจาะกลุ่ม Young Generation ในทำเลคอมมูนิตี้เมือง อย่าง รัชดา, เกษตรฯ, รามคำแหง และบางนา ในระดับราคาที่เข้าถึงง่ายเริ่มต้นเพียง 1.xx ล้านบาทเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้นยังมีโครงการในเซกเมนต์อื่น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว, คอนโดมิเนียม, ทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรเจกต์ ก็จะอยู่ในเซกเมนต์ Affordable และ Medium เป็นหลัก เพื่อให้แสนสิริเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย ซึ่งก็แน่นอนว่าหากจะหวังให้มาตรการนี้เห็นผลในวงกว้างกว่าเดิม ก็คงจะต้องทนรอ ต่ออายุไปเรื่อยๆ จนกว่าโครงการใหม่ๆ ย่านชานเมือง รอบนอกเมืองที่ดีเวลลอปเปอร์เตรียมพัฒนาเปิดขายในปีนี้จะทยอยสร้างเสร็จในปีถัดๆ ไป
ทั้งนี้มาตรการ 2 ข้อดังกล่าว ยังไม่ได้ส่งผลในแง่บวกต่อ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังเป็นกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจ และรายได้ของตัวเองในอนาคต มาตรการประเภทการให้เงินสนับสนุนในการซื้อบ้าน ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม กู้ร่วมให้ง่ายขึ้น หรือลดวงเงินการผ่อนชำระ ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการจับจ่าย ดูจะเห็นผลและกอบกู้ความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคที่มากกว่า ในขณะที่ต้นทุนในการพัฒนาโครงการของดีเวลลอปเปอร์ก็ไม่สามารถทำให้ลดลงมาได้มากเพียงพอที่จะทำให้ตลาดต่ำกว่าสามล้านเกิดขึ้นในเมืองได้ ทางเลือกของดีเวลลอปเปอร์ก็คือไปพัฒนาโครงการรอบนอกตามเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย หรือไม่หากรัฐบาลมองธุรกิจอสังหาฯว่าเป็นฟันเฟืองหลักที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจริง ก็ควรที่จะนำที่ดินต่างๆ ของหน่วยงานรัฐที่อยู่ในทำเลที่ดีมาร่วมกันพัฒนาโครงการในแบบ Affordable Price กับดีเวลลอปเปอร์ หรือการเคหะฯ เพื่อสร้างฐานลูกค้า และจำนวน Supply ในกลุ่มตลาดนี้เพิ่มเติม
โดยในปีนี้หากใครที่สนใจซื้อโครงการพร้อมอยู่ในราคาต่ำกว่า 3 ล้าน เรามีโครงการมาแนะนำให้ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมหรือทาวน์โฮม จากหลายแบรนด์ สามารถใช้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจได้ดังนี้
บริษัท แสนสิริ จำกัด
THE BASE Saphanmai (เดอะ เบส สะพานใหม่) คอนโด High Rise 14 ชั้น 1 อาคาร 2 Tower 820 ยูนิต บนทำเลติดรถไฟฟ้า พร้อม Co-working Space และ Gym 24 ชม. ที่จะช่วยเติมเต็มชีวิตทุกมุมให้สมบูรณ์แบบ มีห้องให้เลือก 2 แบบ คือ 1 Bedroom 24.75-35.5 ตร.ม. และ 2 Bedrooms 48.25-55.8 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท
Anasiri Bangna (อณาสิริ บางนา ) ทาวน์โฮม 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 109 – 147 ตร.ม. มีเนื้อที่โครงการ 37-2-39 ไร่ ลงตัวกับบ้านดีไซน์ใหม่ จากแสนสิริ ที่โดดเด่นด้วยการวาง Façade บ้านให้ไม่ซ้ำกัน พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษ ปรับเปลี่ยนได้ตามวิถีชีวิตครอบครัวยุคใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศริมทะเลสาบ ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท
Mettown Bangna (เมททาวน์ บางนา) ทาวน์โฮม 2 ชั้น จำนวน 409 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยประมาณ 111 ตร.ม. ที่ดินเริ่มต้น 18.5 ตร.ว. บ้านหน้ากว้าง 5.7 เมตร ที่มาพร้อมกับสระว่ายน้ำและสวนส่วนกลางที่ร่มรื่น โดยโครงการได้ออกแบบให้พื้นที่ส่วนกลางเกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อรองรับการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบทุกตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
บริษัท ศุภาลัย จำกัด
Supalai Primo Kanchanapisek-Rama 5 (ศุภาลัย พรีโม่ กาญจนาภิเษก – พระราม 5) ทาวน์โฮมและบ้านแฝดสไตล์โมเดิร์น ขนาด 2 ชั้น ให้ความเป็นส่วนตัว กับจำนวนยูนิตภายในโครงการเพียง 164 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 116 ตร.ม. ที่ดินประมาณ 19 ตร.ว. ราคาเริ่มต้น 2.65 ล้านบาท
Supalai Primo Rangsit (ศุภาลัย พรีโม่ รังสิต) นวัตกรรมของ ทาวน์โฮมมิติใหม่ โดดเด่นด้วยการออกแบบที่เน้นการใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ลงตัว เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น จำนวน 59 ยูนิต หน้ากว้าง 5.5-6.25 เมตร ที่ดินเริ่มต้น 20 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 126-141 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท
Supalai Prime Rama9 (ศุภาลัย ไพร์ม พระราม9) ความสุขเหนือระดับบนถนนพระราม 9 สู่ความสมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิต บนทำเลกลางเมืองธุรกิจ เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 217 ยูนิต มีห้องให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น 1 Bedroom 31.50-38.00 ตร.ม., 1 Bedroom Plus 40.5-46.0 ตร.ม., 2 Bedrooms 1 Bath 48.5-54.5 ตร.ม. และ 2 Bedrooms 2 Bath 60.0-67.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท
ชมโครงการของศุภาลัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เพิ่มเติมได้ที่นี่ :