แบรนด์หรูตัวแม่ระดับโลกอย่าง Louis Vuitton เป็นแบรนด์แรกที่ออกมาเคลื่อนไหวนับจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลของฮ่องกงในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา โดยตัดสินใจปิดร้านค้าไปแล้วหนึ่งร้าน

จากแหล่งข้อมูลเปิดเผยว่าแบรนด์ที่อยู่ในเครือของ LVMH มีแผนที่จะปิดร้านค้าในไทม์สแควร์ของย่านการค้า Causeway Bay ลง หลังจากที่ Wharf Real Estate Investment Corporation (Wharf Reic) ซึ่งเป็นเจ้าของศูนย์การค้าปฏิเสธข้อเสนอการขอลดค่าเช่าที่บริเวณชั้นสอง

ในฮ่องกงมีร้านค้า Louis Vuitton ทั้งหมด 8 แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่ใกล้กับศูนย์การค้า Lee Gardens โดยใช้เวลาเดินเพียง 4 นาทีจากไทม์สแควร์ และก่อนหน้านั้น Louis Vuitton ได้ประกาศจะเปิดร้านแห่งที่ 9 ขึ้นที่สนามบินฮ่องกงในปี 2021

โลโก้สไตล์ฝรั่งเศสชิ้นโตอันสะท้อนถึงความเป็นแบรนด์หรูที่เรียงรายอยู่ตามร้านค้าในเมืองดึงดูดนักช้อปปิ้งจากจีนแผ่นดินใหญ่หรือใครก็ตามที่มาเยือนเมืองนี้เพื่อที่จะได้ซื้อสินค้าแบรนด์หรูในราคาที่ถูกเพราะฮ่องกงเป็นเมืองท่าเสรีและไม่เก็บภาษีสินค้านำเข้า

อย่างไรก็ตาม ผู้ประท้วงบางส่วนเริ่มมีความรู้สึกต่อต้านประเทศจีนเพิ่มขึ้น คนที่พูดภาษาจีนกลางแต่กำเนิดจะถูกโจมตีและธุรกิจใดก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนจะถูกทำลาย

ข้อมูลล่าสุดจากคณะกรรมการการท่องเที่ยวฮ่องกงในเดือนพฤศจิกายนปี 2019 เผยว่ามีคนเพียง 2.65 ล้านคนเท่านั้นที่เดินทางมายังฮ่องกงซึ่งลดลงถึง 56% จากเวลาช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ร้านค้าปลีกอื่นก็กระทบหนักด้วยเช่นกัน ทั้งแบรนด์ Moncler, Gucci และ Salvatore Ferragamo มียอดขายในฮ่องกงลดลงถึง 45% ในช่วงไตรมาสที่ 3 และ LVMH ก็มียอดขายในฮ่องกงลดลง 25% ในช่วงเวลาเดียวกัน ด้วยความที่ไหวตัวทัน LVMH จึงกำหนดให้พนักงานบางส่วนไปทำงานที่จีนแผ่นดินใหญ่ชั่วคราว

ยอดขายสินค้าแบรนด์หรูในฮ่องกงนั้นขับเคลื่อนโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติและจากประเทศจีนถึง 70%

พื้นที่อสังหาฯ เชิงพาณิชย์ในฮ่องกงถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่แพงอันดับต้นๆ ของโลก จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่สินค้าแบรนด์หรูไปรวมตัวกัน เมื่อ Prada ยืนยันที่จะไม่ต่อสัญญาเช่าร้านค้าหลักใน Causeway Bay เจ้าของที่ดินก็ประกาศว่าจะลดราคาค่าเช่ารายเดือนที่ปกติสูงถึง 9 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 35 ล้านบาท) ลงมา 44% สำหรับการเช่าครั้งถัดไป Prada ได้ตัดสินใจก่อนที่จะมีเหตุการณ์การประท้วงเกิดขึ้น

ด้าน Louis Vuitton จ่ายค่าเช่ารายเดือนเป็นเงิน 5 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 19 ล้านบาท) สำหรับพื้นที่ขนาด 10,000 ตารางฟุตในไทม์สแควร์ มีข้อมูลมาว่าร้านค้าแบรนด์หรูอื่นก็จ่ายค่าเช่าในราคาใกล้เคียงกันเพื่อให้ได้อยู่บนทำเลทองเหล่านี้

การที่ Wharf Reic ปฏิเสธคำข้อลดค่าเช่าของ Louis Vuitton สวนทางกับบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ฮ่องกงรายอื่นอย่าง  Swire Properties ที่เป็นเจ้าของ Pacific Place ศูนย์การค้าหรูในย่าน Admiralty และ Hongkong Land บริษัทเจ้าของ Landmark ศูนย์การค้าหรูในเซ็นทรัลฮ่องกง ที่ช่วยผู้เช่ารับมือกับวิกฤติในปัจจุบัน

ผู้บริหารระดับสูงของ LVMH เคยพูดไว้อย่างชัดเจนที่งานปารีสแฟชั่นวีคว่าถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นและนักท่องเที่ยวชาวจีนสนใจไปประเทศอื่นอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์และไทยแทน ฮ่องกงก็จะกลายเป็นแค่อีกหนึ่งเมืองรองของจีน (เช่นเดียวกับ หางโจว อู่ฮั่น และเฉิงตู ขณะที่ฟู่โจว ฮาร์บินและเจิ้งโจวเป็นเมืองลำดับที่สาม)

การสูญเสียผู้เช่ารายหลักอย่าง Louis Vuitton จะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อศูนย์การค้าอย่างไทม์สแควร์ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านค้าอื่น ๆ ของ LVMH อย่าง Dior, Fendi, Celine และ Givenchy ชื่อแบรนด์ระดับโลกที่ดึงดูดนักช้อปให้ตบเท้าเข้าไปในย่านนั้นกันอย่างไม่ขาดสาย

ในฐานะของผู้นำตลาดสินค้าแบรนด์หรู Louis Vuitton ไม่เพียงแต่กำหนดแนวทางของแฟชั่นแต่ยังกำหนดกลยุทธ์การขายและทิศทางของธุรกิจ มันอาจเร็วเกินไปที่จะพูดว่าการตัดสินใจปิดร้านค้าที่ฮ่องกงนั้นจะทำให้เกิด Domino effect กระตุ้นให้เกิดการปิดตัวของร้านค้าแบรนด์หรูอื่นๆ ตามมาในปี 2020 แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครสามารถรับประกันอะไรได้เลย

แหล่งข้อมูลและภาพประกอบ

https://www.scmp.com/lifestyle/fashion-beauty/article/3044433/top-luxury-brand-plans-close-protest-hit-hong-kong-store

https://unsplash.com/photos/OmIEij4MhnA

https://www.facebook.com/HKTimesSquare/photos/a.446187844692/94585739692/?type=3&theater

https://www.timessquare.com.hk/