ประเทศไทยที่มีขนาดใหญ่กว่าแคลิฟอร์เนียเพียงนิดเดียว ประเทศไทยปรากฎชื่ออยู่ในสุดยอดสถานที่ที่ชาวต่างชาตินิยมมาเข้าพักหลังเกษียณ ด้วยความขึ้นชื่อของหาดทรายขาวและน้ำทะเลสีเขียวมรกต ชาวต่างชาติราวๆ 100,000 คนจากทั่วโลกจึงเลือกมาแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ และใช้ชีวิตบั้นปลายกันที่เมืองไทย แต่ก็เหมือนกับทุกที่ในโลก ในสายตาของชาวต่างชาติแล้วประเทศไทยนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียให้พึงระวังก่อนการตัดสินใจ

จุดแข็งของไทย

สิ่งที่ทำให้ชาวต่างชาติหลงใหลในแผ่นดินด้ามขวานทองก็คือความสวยงามทางธรรมชาติ หาดทรายที่สวยงาม น้ำทะเล เกาะแก่งและหน้าผาอันน่ามหัศจรรย์ รวมไปถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าเขียวชอุ่ม ภูเขาเขียวขจีและน้ำตกเย็นชื่นใจ มีความสวยงามให้เชยชมทั้งในตัวเมืองและแหล่งโบราณสถาน รวมไปถึงวิถีชีวิตท้องถิ่นตามตลาดสดอันละลานตา

ประการต่อมาต้องยกให้ความขึ้นชื่อเรื่องอาหารที่ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในชาติอาหารที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก มีทั้งความเผ็ดแซ่บของพริก กะทิหวานมัน วัตถุดิบเครื่องปรุงที่รังสรรค์มาจากธรรมชาติอย่างน้ำตาลปี๊บ อีกทั้งยังมีสมุนไพรสดและเครื่องเทศมากมายที่สร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่คนต่างชาติผู้มาเยือน

นอกจากนี้เมื่อเทียบค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ทุกสิ่งทุกอย่างในไทยล้วนมีราคาที่ถูกอกถูกใจชาวต่างชาติ เพียงแค่เงิน 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนก็แปลงสภาพเป็นเงินไทยไว้ใช้จ่ายได้ถึงหกหมื่นกว่าบาท หลักฐานทางการเงินที่ใช้สำหรับขอวีซ่าเกษียณอายุ (Retirement Visa) ก็เพียงต้องการเงินฝากในบัญชี 800,000 บาทเพื่อยืนยันความสามารถในการดำรงชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้วเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันจริงอาจจะน้อยกว่านี้ก็เป็นได้ขึ้นอยู่กับไลสไตล์การใช้จ่ายของแต่ละคน

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ https://internationalliving.com/ หากมีเงินสัก 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนหรือราวๆ 150,000 บาท ทุกคนก็สามารถอาศัยในคอนโดหรูที่กรุงเทพพร้อมกับเงินค่าจ้างแม่บ้านให้ช่วยทำความสะอาดสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งได้แล้ว

จุดอ่อนของไทย

อย่างไรก็ตามยังมีข้อเสียบางประการที่ชาวต่างชาติให้ความสำคัญ ได้แก่

อากาศร้อน ความชื้น สภาพอากาศในวันฝนตก ถึงแม้ว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่ชาวต่างชาตินิยมเลือกเข้าพักที่เมืองไทยคือต้องการหลบหนีความหนาวเย็นมาสู่ดินแดงแห่งแสงอาทิตย์อันสดใส แต่เชื่อเถอะว่าแสงแดดประเทศไทยไม่เคยปราณีใครจริงๆ

เมืองไทยร้อนจนจระเข้ต้องนอนแช่น้ำอ้าปากให้ร่างกายเย็น

และถึงแม้ว่าประเทศไทยจะค่อนข้างปลอดภัยจากอาชญากรรมและโจรกรรมเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นโดยรอบ แต่การระมัดระวังไว้ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของโรคทางสุขภาพที่ชาวต่างชาติทุกคนควรระวังก่อนเดินทางสู่ประเทศไทย ทาง CDC หรือ The Centers for Disease Control and Prevention ได้ให้คำแนะนำในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังต่อไปนี้เพื่อความปลอดภัยในองค์รวม เช่น โรคหัด คางทูม คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน อีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ โปลิโอ ไทฟอยด์ ไวรัสตับอักเสบเอและบี มาลาเรีย และโรคพิษสุนัขบ้า

อีกข้อพึงระวังที่จริงจังของชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยก็คือสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางการเมือง จากเหตุการณ์ระเบิดในช่วงวันที่ 11 และ 12 สิงหาคม 2016 ที่หัวหิน พังงา ตรัง สุราษธานี และภูเก็ต ซึ่งมีรายงานผู้บาดเจ็บ 37 รายและเสียชีวิต 4 ราย

นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีการรัฐประหารบ่อยครั้งซึ่งนับว่ามากที่สุดในบรรดาประเทศเอเชียในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ และตกอยู่ภายใต้กฎข้อบังคับของทหารนานนับสิบปี ในเดือนพฤษภาคมปี 2014 มีเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยาวนานถึง 7 เดือน ส่งผลให้ผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุด ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการยึดอำนาจและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี มีการให้สัญญาว่าจะพาประเทศไปสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยตามที่รัฐบาลในอารยะประเทศพึงมี

อย่างไรก็ตามตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2014 เป็นต้นมายังไม่มีการประกาศเตือนนักท่องเที่ยวถึงการเฝ้าระวังสถานการณ์ในประเทศไทยแต่อย่างใด นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักในไทยสามารถติดตามข่าวสารการแจ้งเตือนได้จาก https://travel.state.gov/content/travel.html  เพื่อเกาะติดความใกล้ชิดต่างๆ

สรุป

ชาวต่างชาติมองว่าข้อดีของการเข้ามาพำนักที่ประเทศไทยคือ ค่าครองชีพที่ต่ำ มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงามและอาหารอร่อย แต่ข้อเสียคืออากาศร้อนและมีปัญหาทางการเมืองที่เรื้อรังมาอย่างช้านาน แน่นอนว่าทุกคนต้องไปพิสูจน์ด้วยตาของตนเองสักครั้งก่อนการตัดสินใจลงหลักปักฐานในที่ใดที่หนึ่ง และพึงระลึกไว้เสมอว่านี่จะเป็นการมาใช้ชีวิตในระยะยาว ไม่ใช่ในฐานะนักท่องเที่ยวอีกต่อไป

แหล่งข้อมูล

https://www.investopedia.com/articles/personal-finance/020516/retiring-thailand-pros-cons.asp

https://pixabay.com/photos/beach-running-old-couple-people-2090181/

https://pixabay.com/photos/crocodile-mouth-lunch-thailand-1999427/