ภาครัฐไทยควรทำอะไรเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาไทยมากกว่านี้
เท่าที่คุยกับคนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างโรงแรม ที่พักต่างๆ พบว่าพวกเขาต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจมานานหลายปี ลงทุนสร้างห้องพักจำนวนมาก ดูแลมาตรฐานคุณภาพอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด การบริการ หรือประสบการณ์ที่ดีให้แก่นักท่องเที่ยว ทุกอย่างพร้อมและพยายามทำอย่างดีที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกเสียดายคือ หากโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวโดยรอบยังไม่พัฒนาไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่ง การควบคุมราคาที่เหมาะสม หรือระบบการชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัย โอกาสในการสร้างมูลค่าที่แท้จริงให้กับอุตสาหกรรมนี้ก็ยังไม่ถูกใช้เต็มศักยภาพ คนในวงการอสังหาฯ ไม่ได้เรียกร้องเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง แต่เพื่อทั้งวงการท่องเที่ยวไทย ที่สามารถเติบโตไปได้ไกลกว่านี้ หากภาครัฐหันมาเสริมในจุดที่ยังขาดอยู่
1. ภาพรวมสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยที่กำลังกลับมาดีขึ้นเหมือนก่อน
การท่องเที่ยวคือเสาหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2019 ก่อนการระบาดของ Covid-19 ประเทศไทยเคยสร้างสถิติสูงสุดด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติใกล้ 40 ล้านคน แต่เมื่อโรคระบาดผ่านพ้นไป แม้ภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังไม่กลับมาเต็มศักยภาพเหมือนเดิม
จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนในแต่ละปีเป็น (หน่วย: ล้านคน)
ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Tourism_in_Thailand
ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสื่อเศรษฐกิจระบุว่า ปี 2024 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 26% จากปี 2023 แต่ก็ยังไม่ถึงระดับสูงสุดก่อนโควิด ขณะที่ในปี 2025 ตัวเลขตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคมอยู่ที่ราว 21.9 ล้านคน ถือว่าลดลง 7.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แนวโน้มทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในช่วง 33–37.5 ล้านคน ซึ่งแม้จะสูง แต่ก็ยังต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ต้องการแตะ 40 ล้านคนอีกครั้ง
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าแม้นักท่องเที่ยวกลับมา แต่การแข่งขันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับรุนแรงขึ้น เวียดนาม และอินโดนีเซียกำลังดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้นจากความคุ้มค่าและความสะดวกสบายที่พวกเขามอบให้ จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐไทยที่จะต้อง “เร่งปรับนโยบาย” ให้ทันต่อการแข่งขันก่อนที่จะเสียความสามารถในการแข่งขันไป
2. แก้ปัญหาค่าใช้จ่ายและต้นทุนการท่องเที่ยว
หนึ่งในเสียงสะท้อนที่ได้ยินบ่อยคือ “ประเทศไทยแพงขึ้น” ค่าใช้จ่ายในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย หรือเชียงใหม่ สูงขึ้นทั้งด้านที่พัก อาหาร และการเดินทาง แม้ยังถูกกว่าประเทศตะวันตก แต่เมื่อเปรียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ค่าใช้จ่ายพักในไทยก็อาจถือว่าน่าดึงดูดใจน้อยลงกว่าเดิม
ดังนั้นรัฐควรเข้ามามีบทบาทในการ ควบคุมราคาสินค้าและบริการที่จำเป็น เพื่อสร้างมาตรฐานการให้บริการที่เหมาะสม เช่น ดูแลค่าไฟฟ้าซึ่งมีผลต่อต้นทุนค่าให้บริการของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งหมด ดูแลค่าโดยสารแท็กซี่ ดูแลค่าแพลตฟอร์มการเดินทางต่างๆ หรือค่าเข้าชมสถานที่สำคัญ อีกทั้งควร ส่งเสริมเมืองรอง เมืองใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น น่าน ระยอง หรือเมืองที่อยู่รอบๆ magnet destination ยกตัวอย่างรอบกรุงเทพฯ เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม, รอบภูเก็ต สมุย เช่น พังงา นครศรีธรรมราช , รอบเชียงใหม่ เช่น ลำปาง ลำพูน และสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมฝั่งภาคอีสานบ้าง เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา เป็นต้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์แท้จริงในราคาที่เข้าถึงได้ และส่งเสริมให้ธุรกิจท้องถิ่นเติบโตมากขึ้น เป็นการกระจายความเจริญ
3. แก้ปัญหาการเอาเปรียบและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
ชื่อเสียงของการท่องเที่ยวไทยจะเสียหายทันที หากนักท่องเที่ยวถูกโกงหรือเอาเปรียบ ปัญหาการคิดราคาสูงเกินจริงจากแท็กซี่หรือร้านค้า รวมถึงการขาดมาตรการด้านความปลอดภัยในบางพื้นที่ เป็นประเด็นที่ควรเร่งแก้ไข
ภาครัฐจึงควร บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด กับผู้ประกอบการที่โกงราคา พร้อมทั้งสร้าง ช่องทางร้องเรียนที่เข้าถึงง่ายสำหรับนักท่องเที่ยว และที่สำคัญต้องมีการตอบสนองต่อปัญหาอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเมืองไทยคือจุดหมายที่ “ปลอดภัยและยุติธรรม” เพื่อสร้างระบบที่ทำให้นักท่องเที่ยวอุ่นใจ และไม่ลังเลที่จะมาเที่ยวไทย
4. ควรปรับปรุงระบบบริการและความสะดวกสบาย
โลกการท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันไม่ได้วัดกันเพียงความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยว แต่ยังวัดกันที่ “ความสะดวก” ที่นักเดินทางได้รับอีกด้วย ประเทศไทยจึงควรเร่งดำเนินการในหลายมิติ
ด้านแรกคือ ระบบวีซ่าและด่านตรวจคนเข้าเมือง ที่ควรมีขั้นตอนง่ายและรวดเร็วขึ้น ขยาย e-Visa เพิ่มช่องทางตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ และลดความยุ่งยากให้นักท่องเที่ยวไม่เสียเวลาเสียอารมณ์
ด้านต่อมาคือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ทั้งระบบข้อมูลท่องเที่ยวหลายภาษา การสนับสนุนการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสด และแอปพลิเคชันเรียกรถหรือจองบริการที่โปร่งใสและเงินเข้าผู้ประกอบการไทยที่รัฐเก็บภาษีได้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจและรู้สึกว่าประเทศไทยไม่ด้อยกว่าประเทศคู่แข่งประเทศอื่นๆ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ดีกว่า
5. บทบาทของสาธารณูปโภคที่ “Affordable” ต่อการพักระยะยาว
อีกหนึ่งแนวทางที่ยังไม่ถูกหยิบยกอย่างจริงจังคือ การออกแบบต้นทุนชีวิตที่จับต้องได้ (Affordable) เพื่อดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะยาว เช่น Digital Nomad หรือผู้ที่มาใช้ชีวิตหลังเกษียณ
ต้นทุนพื้นฐานอย่างค่าไฟฟ้า น้ำประปา และค่าอินเทอร์เน็ต หากอยู่ในระดับเหมาะสม จะทำให้ผู้ประกอบการที่พักเสนอราคา Long-stay ได้อย่างยั่งยืน และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวใช้ชีวิตใกล้ชิดกับสังคมไทยมากขึ้น ซึ่งรายได้ระยะยาวที่เกิดจากการอยู่อาศัยแบบนี้มีมูลค่ามากกว่าการท่องเที่ยวระยะสั้นที่จบลงภายในไม่กี่วัน