นางสาวนฤมล อาภรณ์ธนกุล  ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย

บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

คอนโดมิเนียมก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่คนวัยทำงานที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ มักจะมองหาที่อยู่อาศัยอันดับต้นๆ เพราะส่วนใหญ่อยู่ในทำเลใกล้ศูนย์กลางธุรกิจสามารถเดินทางไปทำงานได้สะดวก ด้วยรถไฟฟ้า และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่เน้นความสะดวกสบาย แต่การอยู่อาศัยในคอนโดเป็นการอยู่ร่วมกับคนจำนวนมากซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน ก่อนอื่นเราลองมาดูตัวอย่างกันก่อนว่าความแตกต่างในคอนโดมีอะไรบ้าง

คอนโดนานาชาติ ลูกบ้านหลากหลายวัฒนธรรม

ไม่ใช่เพียงคนไทยเท่านั้นที่สามารถเป็นเจ้าของคอนโดได้ แต่ชาวต่างชาติก็สามารถซื้อคอนโดได้เช่นกัน โดยในแต่ละโครงการลูกค้าต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของห้องชุดได้ไม่เกิน 49% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด นอกจากเจ้าของห้องชุดแล้ว ชาวต่างชาติก็สามารถเช่าห้องชุดได้เช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะพบว่าเพื่อนบ้านในโครงการของเรานั้นมีหลายเชื้อชาติจากหลากหลายวัฒนธรรม โดยที่พบบ่อยจะเป็นชาวจีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน ตลอดจนชาติตะวันตก ยิ่งโดยเฉพาะหากเป็นคอนโดโครงการที่อยู่ในทำเลแหล่งรวมบริษัทข้ามชาติ หรือเป็นทำเลยอดนิยมของคนต่างชาติ จะพบว่าคอนโดนั้นๆ มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มาก ซึ่งแน่นอนว่าคนที่มาจากวัฒนธรรมที่ต่างกันย่อมมีรูปแบบ พฤติกรรมการอยู่อาศัยที่แตกต่าง  เช่น ชาวญี่ปุ่นเคารพในกฎระเบียบการอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเคร่งครัด  ชาวตะวันตกเน้นความเป็นส่วนตัว เคารพผู้อื่นและให้ความสำคัญกับการใช้งานพื้นที่ส่วนกลาง ชาวจีนและชาวเกาหลีโดดเด่นเรื่องการสังสรรค์

ความชอบที่หลากหลาย ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ต่างกัน

แต่ละคนย่อมมีลักษณะนิสัยที่แตกต่าง ความชอบ ไลฟ์สไตล์ด้านการใช้ชีวิตจึงต่างกัน แม้จะเป็นคนสัญชาติเดียวกันหรือวัยใกล้เคียงกัน ก็อาจจะไม่ได้มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่เหมือนกัน เช่น บางคนมีไลฟ์สไตล์แบบ Healthy รักสุขภาพ ชอบใช้เวลาสวนใหญ่อยู่ในสวนที่ร่มรื่น ทานอาหารคลีน บางคนอาจจะชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมในพื้นที่ส่วนกลางเป็นประจำ แต่บางคนอาจมีไลฟ์สไตล์ที่ชอบความสงบ ฟังเพลง ดูหนังออนไลน์ในห้อง หรือบางคนอาจชอบกิจกรรมเข้าสังคม การสังสรรค์ การได้พบปะผู้คนใหม่ๆ เป็นต้น

แล้วการอยู่อาศัยร่วมกันจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรให้โครงการนั้นเป็นโครงการแสนสุข? ก่อนอื่นน่าจะเป็นการดีหากเริ่มต้นจากความคิดของตัวเราก่อน หากเราให้ความสำคัญเรื่องการเคารพความแตกต่างและคำนึงถึงการอยู่อาศัยของส่วนรวม ก็จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านได้โครงการได้อย่างเข้าอกเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญคือการมี “คนกลาง” อย่างเจ้าหน้าที่นิติบุคคล ที่คอยดูแลด้านการใช้ชีวิตของลูกบ้าน ควบคุมกฎระเบียบด้านการพักอาศัยในโครงการ เป็นตัวกลางคอยให้ข้อมูลคำแนะนำ สร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกันระหว่างลูกบ้าน ตลอดจนมีกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในโครงการ ก็จะช่วยให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

ขอยกตัวอย่างการบริหารจัดการโครงการที่พักอาศัยของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในโครงการที่เป็น Multi-culture ที่มีลูกบ้านหลากหลายวัฒนธรรม จะมีการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบพื้นฐานด้านการอยู่อาศัยในโครงการให้ลูกบ้านรักทราบและมีความเข้าใจที่ตรงกันตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในโครงการ โดยจัดทำข้อมูลในหลากหลายภาษา ซึ่งในบางโครงการก็มีเจ้าหน้าที่สามารถสื่อสารภาษาที่ 3 เช่น ภาษาจีน คอยให้บริการแก่ลูกบ้านต่างชาติด้วย

การจัดกิจกรรมสำหรับลูกบ้านก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยสร้างความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกบ้าน เช่นการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับเทศกาลสำคัญของชาวต่างชาติ เช่น กิจกรรมทานาบาตะ ที่เป็นเทศกาลสำคัญของชาวญี่ปุ่น สำหรับโครงการที่มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่จำนวนมาก หรือกิจกรรมตามประเพณีไทยอย่างกิจกรรมลอยกระทง กิจกรรมรดน้ำดำหัวในเทศกาลสงกราต์ เป็นต้น รวมถึงกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกบ้าน เช่น กิจกรรมสำหรับลูกค้าที่ชอบการออกกำลังกาย กิจกรรมปลูกผักสวนครัว สำหรับลูกบ้านที่ชอบการใช้ชีวิตตามแบบ Green Concept ซึ่งนอกจากเรื่องการจัดกิจกรรมที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์และวัฒนธรรมการใช้ชีวิตแล้ว ยังมีบริการที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเฉพาะด้าน เช่น แคมเปญ Her Forward ที่เปิดหลักสูตรสอนทักษะงานช่างทั่วไปแก่พนักงานหญิง ให้สามารถให้บริหารงานช่างแก่ลูกบ้านผู้หญิงที่อยู่คนเดียว และไม่สะดวกให้ช่างผู้ชายเข้าห้องพักอีกด้วย

นอกจากความแตกต่างของผู้อยู่อาศัยในคอนโดแล้ว แต่ละโครงการก็มีความต่างกันในเรื่องอื่นๆ ด้วย ทั้งในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง ระบบวิศวกรรมตึก ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการดูแลโครงการให้มีสภาพดีไม่เสื่อมตามกาลเวลา และบริหารจัดการทุกความต่างให้ลงตัว แต่สิ่งสำคัญคือผู้อยู่อาศัย หากมีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก หรือยึดหลัก “ใจเขาใจเรา” ก็จะช่วยให้โครงการนั้นน่าอยู่ค่ะ