– ชูจุดต่างด้านโลเคชั่น เชื่อมต่อได้ง่ายกับไลฟ์สไตล์คนเมือง    ย้ำความเป็นผู้นำคอนโดฯ ติดแนวรถไฟฟ้า

– เล็งกลุ่มเป้าหมาย ‘เจนเนอเรชั่น เอ็กซ์’ ที่จะเป็นกลุ่ม ‘ผู้สูงวัยรุ่นใหม่’ ใน 3 ปีข้างหน้า

– แนวคิด ‘INTERGENERATIONAL LIVING’ ผสานความต่างของทุกเจนเนอเรชั่น เข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว

– ผนึกกำลัง บริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป – MECG) ต่อยอดองค์ความรู้เฉพาะทาง นำความสำเร็จของโครงการอสังหาฯ เพื่อสังคมสูงวัยในญี่ปุ่นมาปรับใช้ในไทย

เอพี (ไทยแลนด์) ผู้นำด้านนวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง เผยวิสัยทัศน์ที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต เตรียมขยายพอร์ตคอนโดมิเนียมในเมือง เจาะกลุ่ม ‘คนสูงวัยรุ่นใหม่’ (The Young Old) ที่ทรานสฟอร์มมาจาก ‘เจนเนอเรชั่น เอ็กซ์’ ที่มีกำลังซื้อและความพร้อมทางการเงิน ชูจุดต่างด้านทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองติดแนวรถไฟฟ้า พร้อมแนวคิด ‘INTERGENERATIONAL LIVING’ ผสานความต่างของทุกเจนเนอเรชั่นเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว ผ่าน 3 แกนหลัก เปลี่ยนวิธีคิดในการออกแบบ สร้างนิยามใหม่ของการอยู่อาศัย พัฒนาโมเดลเสริมความสุขทางใจ  ตั้งเป้าหมายในปี 2563 เปิดตัวโครงการนำร่องในทำเลสาทร-ตากสิน เดินทางเพียง 5 นาทีจากรถไฟฟ้าสถานีวุฒากาศ

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “เอพีเป็นผู้นำในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในเมืองติดแนวรถไฟฟ้า โดยมีพันธกิจสำคัญ คือการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัยที่ครอบคลุมทุกมิติ เราจึงเดินหน้าคิดค้น และพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริม และยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างครบถ้วนด้วยคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย รวมทั้งเข้าถึงความหมายของคำว่าคุณภาพชีวิตที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริงและยั่งยืน ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับกระแสเทรนด์โลกที่ให้ความสนใจในประเด็นการเข้าสู่สังคมสูงวัย (Senior Population Trend) เราจึงพร้อมนำข้อได้เปรียบในการพัฒนาคอนโดมิเนียมของเอพี ทั้งในเรื่องของโลเคชั่น การออกแบบพื้นที่ และการส่งต่อองค์ความรู้จากบริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป – MECG) พันธมิตรทางธุรกิจ มาต่อยอดสู่การขยายพอร์ตสินค้าคอนโดมิเนียมไปยังตลาดกลุ่มลูกค้าผู้สูงวัยรุ่นใหม่ (The Young Old) อายุ 60 – 75 ปี ที่มีความพร้อมทางด้านการเงิน ภายใต้แนวคิด ‘INTERGENERATIONAL LIVING’ คอนโดมิเนียมในเมืองสำหรับผู้สูงวัยรุ่นใหม่ ที่ผสานความต่างของทุกเจนเนอเรชั่นเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว”

โดยปี 2563 นี้เอพีจะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกในธุรกิจที่เริ่มพัฒนาคอนโดมิเนียม   ในเมืองเพื่อผู้สูงวัยรุ่นใหม่กลุ่มนี้ ที่ทุกพื้นที่ตอบรับการอยู่อาศัยในทุกเจนเนอเรชั่น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดเชิงลึก คาดว่าเปิดตัวในทำเลสาทร-ตากสิน 5 นาทีจากรถไฟฟ้าสถานีวุฒากาศ

“ข้อมูลจาก World Population Ageing โดยองค์การสหประชาชาติ จัดอันดับประเทศในเอเชีย พบว่าในปี 2573 ประเทศไทยจะมีสัดส่วนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นเป็น 19% เป็นอันดับที่ 3 รองจากประเทศญี่ปุ่น และสิงคโปร์ และเมื่อดูเทรนด์ภายในประเทศแล้ว เราจะเห็นแนวโน้มในอนาคตที่ประชากรเด็กลดลงกว่าจำนวนประชากรผู้สูงอายุ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเป็นสังคม ผู้สูงวัยที่กำลังจะมาถึง” นายวิทการ กล่าวเสริม

“เอพีไม่ได้มองเพียงแค่การพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเท่านั้น แต่เรามองไปถึงการตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยในอนาคตด้วย สำหรับคอนโดมิเนียมภายใต้แนวคิด ‘INTERGENERATIONAL LIVING’ ที่เรากำลังจะพัฒนาขึ้นนั้น กลุ่มเป้าหมายไม่ใช่ผู้สูงวัยที่เป็นกลุ่มคนในยุค Baby Boom แต่คือกลุ่มคน “เจนเนอเรชั่น เอ็กซ์” ในวันนี้ ซึ่งปัจจุบันมีอายุประมาณ 37 – 57 ปี (เกิดระหว่าง พ.ศ. 2504 – 2524) และกำลังจะก้าวย่างเข้าสู่การเป็น ‘ผู้สูงวัยรุ่นใหม่’ (The Young Old) ซึ่งวิธีการออกแบบที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยรุ่นใหม่นี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ เนื่องจากพฤติกรรมหลายอย่างจะถูกส่งต่อข้ามไป เช่น พฤติกรรมคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเมือง การเดินทางที่สะดวกสบาย อยากอยู่ใกล้เพื่อน ลูกหลาน การไม่กลัวเทคโนโลยี ชอบเข้าสังคมและความพร้อมทางการเงินที่มีการวางแผนมาอย่างดี รวมถึงการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าที่ส่งมอบ เช่น ทำเลที่ตั้งในเมือง ในขณะที่ที่พักอาศัยหรือชุมชนสำหรับผู้สูงวัยในปัจจุบัน มักจะตั้งอยู่ห่างไกลหรืออยู่ในต่างจังหวัด เราจึงพบช่องว่างและเล็งเห็นโอกาสที่จะพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ผู้สูงวัยรุ่นใหม่นี้  ที่จะโดดเด่นด้วยการออกแบบ และทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง” นายวิทการ กล่าว

สำหรับทิศทางในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ ‘INTERGENERATIONAL LIVING’ นั้นประกอบด้วย 3 แกนหลักคือ 1) Rethink Space การปรับวิธีคิดในการออกแบบพื้นที่ใหม่ทั้งหมด โดยนำหลัก Universal Design เข้ามาผสมผสานในการออกแบบพื้นที่เพื่อคนทุกเจนเนอเรชั่น 2) Redefine Living การสร้างนิยามใหม่ของการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมสำหรับผู้สูงวัยรุ่นใหม่ ซึ่งเราพร้อมส่งมอบคุณค่าของสินค้าที่อยู่เหนือกาลเวลา ทั้งในเรื่องของทำเลที่ตั้งที่อยู่ในเมือง (Location in Location) การเพิ่มสัดส่วนของพื้นที่ส่วนกลางที่มากขึ้นกว่าคอนโดมิเนียมทั่วไป รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในชีวิต 3) Remodeling Community การพัฒนาโมเดลที่ส่งเสริมความสุขในการอยู่อาศัย ทั้งด้านจิตใจ และคุณค่าต่อชุมชน

“ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากบริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป – MECG) ในการส่งต่อองค์ความรู้ในด้านธุรกิจเพื่อผู้สูงวัย ซึ่งเรามั่นใจว่าคอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่นี้ นอกจากการออกแบบให้ที่อยู่อาศัยมีฟังก์ชั่นการใช้งานสอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน ที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยทุกเจนเนอเรชั่น โดยเฉพาะผู้สูงวัยรุ่นใหม่ดำเนินชีวิตประจำวันได้สะดวก ช่วยเหลือตนเองได้ ลดอุบัติเหตุและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในการทำกิจกรรมต่างๆ แล้ว  ยังแตกต่างด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าเชื่อมต่อได้ง่ายกับการใช้ชีวิตของคนเมือง ซึ่งเป็นจุดเด่นของคอนโดมิเนียมในเครือเอพีมาโดยตลอด” นายวิทการ กล่าวเสริม

มร. โทโมฮิโกะ เอกุจิ Director and Executive Officer บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนซ์ จำกัด (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป – MECG) กล่าวว่า “ประเทศญี่ปุ่นมีประชากรเข้าสู่ช่วงสูงวัยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก กลุ่มบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท ถือว่ามีความชำนาญในธุรกิจเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย และร่วมกับพันธมิตรในการรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำมาซึ่งความสะดวก ปลอดภัย และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งแน่นอนว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัยมีความซับซ้อนมากกว่าการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป นอกจากการคำนึงถึงการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยในการดำรงชีวิตแล้ว การบริหารจัดการเพื่อสร้างสังคมคุณภาพ (community) ที่นำมาซึ่งสุขภาพจิตที่ดีก็มีส่วนสำคัญที่ผู้สูงวัยต้องการ”

สำหรับการพัฒนานวัตกรรมที่พักอาศัยเพื่อผู้สูงวัย กลุ่มบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (MECG) ได้มีแนวทางดำเนินงานผ่าน 3 บริษัทในเครือ ได้แก่ 1) การพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบ Nursing Home ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2533  โดยบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (MEC) และบริหารจัดการผ่านบริษัทในเครือของ MEC 2) การลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย โดยบริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (MJR) ซึ่งจะเป็นผู้ลงทุนพัฒนา และส่งมอบต่อให้กับบริษัทพันธมิตรเป็นผู้บริหารจัดการโครงการต่อไป       3) ธุรกิจรีโนเวทที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัย ผ่านทางบริษัทมิตซูบิชิ เอสเตท โฮม (MEH) และธุรกิจพัฒนา    ที่อยู่อาศัย ภายใต้ ‘มาตรฐานการออกแบบที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงวัย’ ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท โฮม (MEH) สำหรับบ้านเดี่ยว และ บริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (MJR) สำหรับคอนโดมิเนียม

“กลุ่มบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้ส่งต่อความรู้ ความชำนาญในการพัฒนาที่พักอาศัย และรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อผู้อยู่อาศัยในประเทศไทย เรามั่นใจว่าเมื่อนำความเชี่ยวชาญในตลาดอสังหาเมืองไทยของเอพี ประกอบกับทำเลที่ตั้งซึ่งเอพีได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้าตลาดคอนโดติดแนวรถไฟฟ้า มาผนวกกับองค์ความรู้ในการพัฒนานวัตกรรมที่พักอาศัยของเรา จะทำให้เอพีสามารถส่งมอบคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์คนทุกวัย สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัยและประสบความสำเร็จในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย” มร. เอกุจิ กล่าวเสริม

“สำหรับเป้าหมายในการผสานความร่วมมือในครั้งนี้ นอกเหนือจากการได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกับทีมงานของทาง บริษัท มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป – MECG) แล้ว ยังเป็นการย้ำถึงจุดแข็งของเอพี ที่เป็นผู้นำในการพัฒนาคอนโดมิเนียม ที่เชี่ยวชาญในการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์การใช้งานของคนเมือง ทั้งยังส่งเสริมความสะดวกสบายในการเดินทาง เชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์คนเมืองได้ในทุกมิติ และยังถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเอพี ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อคอนโดมิเนียมครั้งใหญ่ ที่การออกแบบพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จะแตกต่างจากคอนโดมิเนียมทั่วไปโดยสิ้นเชิง ด้วยแนวคิด ‘INTERGENERATIONAL LIVING’ คอนโดมิเนียมในเมืองสำหรับผู้สูงวัยรุ่นใหม่ (The Young Old) ที่ผสานความต่างของทุกเจนเนอเรชั่นเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียว โดดเด่นด้วยทำเลติดแนวรถไฟฟ้า และการออกแบบที่นำไปสู่วิถีชีวิตในมุมมองใหม่ ถือเป็นการยกระดับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้ทุกระดับของวัยโดยแท้จริง” นายวิทการ กล่าวสรุป