[บทความประชาสัมพันธ์ โดย คุณ ณภัทร บูรณพงษ์ศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด]

ในยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ยุคที่สามารถนำเอาทุกสิ่งมาไว้บนดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเข้าถึงข้อมูลตลอดจนสินค้าและบริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมต่างก็ทยอยเข้าสู่รูปแบบดิจิทัล รวมถึงภาคบริการต่างๆ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะนำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ในแวดวงธุรกิจ แต่พวกเราในฐานะผู้บริโภคก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญและปรับตัวให้ทันเพื่อเข้าสู่สังคมดิจิทัลด้วยเช่นกัน

สำหรับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เอง ในปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไกลไปมาก  แทบจะเรียกได้ว่าทุกอย่างสามารถรวมอยู่ได้ในสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว มีเว็ปไซต์ที่ตอบสนองความต้องการด้านอสังหาฯ มากมายไม่ว่าจะเป็นในมุมของผู้ซื้อ ผู้ขาย หรือผู้เช่า ก็สามารถศึกษาข้อมูลทั้งรายละเอียดหรือวิดีโอห้องตัวอย่างแบบ 360 องศา หรือบางแห่งยังมีการพัฒนาเทคโนโลยี Mixed Reality หรือ MR ซึ่งเป็นการผสานระหว่างเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) กับ Augmented Reality (AR) เข้าด้วยกัน สร้างภาพจำลองห้องตัวอย่างที่ผู้ใช้งานสามารถมีปฏิสัมพันธ์ในสภาพแวดล้อมที่ผสานโลกจริงและโลกเสมือนเป็นหนึ่งเดียว เช่น การปรับแต่งฟังก์ชั่นต่างๆ ของห้อง การเคลื่อนย้ายตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ ทำให้การซื้อขายอสังหาฯ เป็นไปได้เพียงไม่กี่ขั้นตอน ต่างจากเมื่อก่อนที่กว่าจะตัดสินใจซื้อได้ต้องมีการโทรนัด ติดต่อพูดคุย เข้าไปดูสถานที่จริง นัดตกลงทำสัญญา ฯลฯ แต่เอาเข้าจริงผมว่าขั้นตอนต่างๆ นี้ ยังมีเสน่ห์อยู่เนื่องจากเราได้สัมผัสของจริง ได้เห็นถึงบรรยากาศและภาพรวมต่างๆ บริเวณรอบโครงการ เนื่องจากบ้านและคอนโดถือเป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากอย่างหนึ่ง การพิจารณาหรือเลือกสรรมีความละเอียดอ่อนมากกว่าสินค้าอื่นๆ ครับ ซึ่งแน่นอนว่าการมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยนั้นทำให้สะดวกสบายขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาและน่าเป็นห่วงคือรูปแบบมิจฉาชีพที่มาพร้อมกับกลวิธีในการหลอกลวงผู้บริโภคโดยอาศัยเทคโนโลยีนี่แหละครับ ด้วยความที่เทคโนโลยีบางอย่าง เช่น เว็ปไซต์ซื้อขายอสังหาฯ เปิดกว้างให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ จึงไม่แปลกหากจะมีมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาในคราบนายหน้าและหลอกลวงผู้บริโภคผู้โชคร้ายที่รู้ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมให้ตกเป็นเหยื่อได้

จากประสบการณ์ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างงานตัวแทนซื้อ-ขาย-เช่า เพราะเป็นงานที่พลัสฯ มีประสบการณ์ตรง จึงอยากนำเรื่องราวมาถ่ายทอดให้เกิดประโยชน์ถึงพฤติกรรมที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อหลุมพรางของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้

เหตุการณ์ที่ 1  ลูกค้าพบประกาศขายคอนโดจากนายหน้า A ทางเว็ปไซต์และเกิดความสนใจ จึงมีการโทรติดต่อพูดคุย โดยนายหน้า A แจ้งว่ามีผู้สนใจห้องนี้เป็นจำนวนมาก จึงต้องให้ลูกค้าโอนเงินจองเพื่อล็อกห้องไว้ก่อนเป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ลูกค้าด้วยความที่สนใจห้องมากจึงทำการโอนเงินจองจำนวน 50,000 บาททันที โดยที่ยังไม่มีการพบเจอนายหน้าและเซ็นเอกสารรับรองใดๆ เมื่อถึงวันนัดเซ็นสัญญา ลูกค้ามานั่งรอนายหน้า A ที่จุดนัดหมายนานหลายชั่วโมง จนสุดท้ายนายหน้า A เบี้ยวนัด หลังจากติดต่อนายหน้า A ได้ลูกค้าจึงได้รับคำตอบว่าห้องดังกล่าวถูกขายออกไปเรียบร้อยแล้ว (คาดว่าน่าจะขายให้ลูกค้ารายอื่นที่ให้ราคาดีกว่า) แต่เคสนี้โชคดีที่เป็นเพียงนายหน้ามือสมัครเล่นแต่ไม่ใช่มิจฉาชีพ จึงได้เงินจองคืน ซึ่งความเป็นจริงแล้วการโอนเงินโดยไม่มีเอกสารหลักฐานใดๆ รับประกัน หากโชคร้ายไปเจอมิจฉาชีพตัวจริงที่อาจจะเคยได้เห็นข่าวกันบ้างตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็นับว่าเสี่ยงที่จะโดนเชิดเงินหนีหายไปได้

เหตุการณ์ที่ 2 ลูกค้าตกลงเซ็นสัญญาซื้อคอนโดกับนายหน้า B ที่ประกาศขายห้องทางเว็ปไซต์ ด้วยความเคยชินที่เคยซื้อโครงการอื่นๆ กับนายหน้ามืออาชีพเจ้าอื่น จึงไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดสัญญาให้ดีก่อน หลงคิดว่าเงื่อนไขการซื้อน่าจะเป็นธรรมแบบเดียวกับที่ตนเคยประสบมา หลังจากเซ็นสัญญาซื้อคอนโดเรียบร้อยแล้วจึงค่อยพบปัญหาในห้องมากมาย จึงต้องการที่จะยกเลิกสัญญาซื้อ แต่เมื่อมาตรวจสอบรายละเอียดเงื่อนไขในสัญญากลับพบว่า ลูกค้าไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้ไม่ว่ากรณีใดๆ หากยกเลิกสัญญาจะถูกยึดเงินมูลค่า 1,000,000 บาท ซึ่งไม่เป็นธรรมเป็นอย่างยิ่ง แต่ลูกค้าได้เซ็นยินยอมอย่างถูกต้องแล้ว จึงต้องจำใจไม่ยกเลิกสัญญานั้น

ในยุคที่สมัยนี้ ใครๆ ก็เป็นนายหน้าได้ เพราะประเทศไทยไม่มีกฎหมายบังคับเรื่องนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ช่างสวนทางกันกับที่การซื้ออสังหาริมทรัพย์ในแต่ละครั้ง ที่มักจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ซึ่งอาจจะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของบางครอบครัวเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังตัวอย่างข้างต้น ก่อนทำการซื้อหรือเช่าอสังหาฯ นอกจากต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้น เช่น รายละเอียดโครงการ ความน่าเชื่อถือของ
ดีเวลลอปเปอร์ ฯลฯ นั้นเป็นอย่างดีแล้ว ยังต้องศึกษาข้อมูลความน่าเชื่อถือของนายหน้าที่ทำการประกาศขาย/เช่า อสังหาฯ นั้นๆ อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องของรายละเอียดสัญญาที่ต้องตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนรัดกุม ครอบคลุมผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลาค่อนข้างมากแต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำเพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบหรือการโดนหลอกได้ในภายหลัง

สำหรับคุณสมบัติของนายหน้าหรือตัวแทนขายอสังหาฯ สำหรับประกอบการพิจารณาเบื้องต้นนั้น นายหน้าที่เป็นมืออาชีพจะต้องมีชื่อเสียงรับรู้ในวงกว้าง มีข้อมูลบริษัทที่น่าเชื่อถือเปิดเผยต่อสาธารณชน มีการให้บริการที่โปร่งใส เอกสารสัญญาต้องชัดเจน เป็นธรรม มีเอกสารหลักฐานกำกับในขั้นตอนทางการเงิน เป็นต้น ซึ่งจะต่างกับกลุ่มมิจฉาชีพที่จะไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง บริษัทไม่เป็นที่รู้จักหาข้อมูลไม่ได้ มักจะเร่งรัดการดำเนินการที่ส่อทุจริต เช่น เร่งการโอนเงินจองทั้งที่ไม่มีหลักฐานค้ำประกัน นำห้องเดิมไปเสนอขายกับลูกค้าอีกหลายรายทั้งที่มีผู้จองแล้ว เป็นต้น

ผมไม่ได้ต้องการชี้แนะว่าการทำธุรกรรมทางออนไลน์ไม่ดี ไม่ปลอดภัยนะครับ เพียงแต่ต้องการให้แยกแยะบางเรื่องเราทำผ่านออนไลน์ได้ เช่น การศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของโครงการ ภาพ / วิดีโอ ของห้องตัวอย่าง  แต่หากเป็นเรื่องขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับเงินๆ ทองๆ หรือสัญญา อย่างไรเสียก็จำเป็นจะต้องมีการนัดหมาย พบปะเพื่อพูดคุยในรายละเอียดก่อนทำธุรกรรมครับ นอกจากนี้ หากเลือกใช้นายหน้าหรือตัวแทนอสังหาฯ ของโครงการ หรือนายหน้าที่น่าเชื่อถือ เราจะได้รับบริการแบบมืออาชีพ ได้ที่ปรึกษาเชิงวิเคราะห์ที่มีข้อมูลเชิงลึก สามารถแนะนำลูกค้าได้อย่างเจาะลึกรอบด้าน มีคนกลางที่คอยประสานจัดการในขั้นตอนต่างๆ ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายหรือผู้เช่าและผู้ปล่อยเช่า ให้เป็นไปอย่างราบรื่น  โดยเฉพาะขั้นการร่างสัญญา ตลอดจนเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การทำสินเชื่อ จึงลดความยุ่งยากในแต่ละขั้นตอน ทั้งยังให้คำปรึกษาและดูแลลูกค้าหลังการขายได้เป็นอย่างดี