ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ขานรับตลาดดิจิทัลโตรับเน็กซ์นอร์มอล พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ชูเทคโนโลยีล้ำหน้าแต่คุ้มค่าในการลงทุน
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชัน มุ่งมั่นช่วยองค์กรธุรกิจปรับสู่ระบบดิจิทัลและตอบโจทย์ความท้าทายในเรื่องความล่าช้า ความปลอดภัย ค่าใช้จ่าย การมอนิเตอร์และการควบคุมดูแล ด้วยเทคโนโลยีไอทีภายใต้โซลูชันดาต้าเซ็นเตอร์ และเอดจ์คอมพิวติ้ง เพื่อรองรับจำนวนข้อมูลที่เกิดขึ้นมหาศาลจากเซ็นเซอร์และผู้ใช้งานปลายทาง จากการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจสู่ดิจิทัลในอุตสาหกรรมต่างๆ
ศูนย์ข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญของการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล หากไม่มีศูนย์ข้อมูล คลาวด์ และโคโลเคชัน การทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล หรือการใช้งาน IoT ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตและการทำงาน โดยมีการพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น นับเป็นการเร่งสู่ยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็ว การใช้ดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน เช่นการทำงานอยู่กับบ้าน ประชุมทางไกลผ่านแอปพลิเคชันหรือแฟลตฟอร์มต่างๆ ทุกคนสามารถรีโมทควบคุมกระบวนการทำงานที่ไซต์งานจากที่บ้านผ่านอุปกรณ์ไอทีต่างๆ การช้อปปิ้งออนไลน์ การสั่งอาหารออนไลน์ ชมซีรี่ย์-ภาพยนตร์ออนไลน์ กิจกรรมเหล่านี้ล้วนมีขุมพลังที่ขับเคลื่อนอยู่ข้างหลังเพื่อให้เราสามารถทำกิจกรรมได้อย่างราบรื่น นั่นหมายถึงดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ
ทุกวันนี้ สิ่งสำคัญที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูลมหาศาลจากปลายทาง หรือจุดที่มีการเกิดขึ้นของข้อมูลมากที่สุด เพื่อลดความล่าช้า (latency) ที่เกิดขึ้นหากต้องอาศัยการประมวลผลข้อมูลจากดาต้าเซ็นเตอร์เพียงแห่งเดียว นั่นคือเอดจ์คอมพิวติ้ง ยิ่งการเกิดขึ้นของบริการ 5G ยิ่งช่วยเสริมศักยภาพและโอกาสให้กับหลายอุตสาหกรรมได้ใช้ประโยชน์จากระบบอัตโนมัติมากขึ้น จากระดับเอ็นเตอร์ไพรส์ สู่ระบบการขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมการผลิต อย่างไรก็ตามด้วยความต้องการปริมาณงานที่สูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของข้อมูลที่รวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีจึงเริ่มปรับใช้ไอทีแบบกระจายศูนย์ที่มีไซต์งานเอดจ์คอมพิวติ้งหลากหลายไซต์ ซึ่งโดยปกติมักจะไม่ค่อยมีเจ้าหน้าที่ประจำไซต์ จึงมีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันการเกิดดาวน์ไทม์ อย่างเช่น การเสริมการป้องกันด้วยระบบสำรองไฟฟ้าที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าระบบงานจะไม่ล้มเหลวเมื่อจำเป็นต้องใช้งาน
IDC ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะมีข้อมูลถึง 79 เซตต้าไบต์ ที่มาจากอุปกรณ์ IoT จำนวน 1 พันล้านเครื่องภายในปี 2025 นอกจากนี้ มีรายงานของ Tech Research Asia (TRA) เกี่ยวกับเอดจ์คอมพิวติ้งในเอเชียแปซิฟิก ในเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งจัดทำขึ้นโดย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ครอบคลุมถึงมุมมองเชิงลึกจากซีไอโอ 15 ราย และผู้นำด้านเทคโนโลยีจำนวน 1,100 รายจากอุตสาหกรรมหลากหลายในเอเชียแปซิฟิกในปัจจุบัน เกี่ยวกับสภาพไอที การใช้งานเอดจ์คอมพิวติ้ง การสำรวจประกอบด้วยการวิจัยในแนวกว้างอย่างครอบคลุมและการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ตอบสำรวจครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยผู้ตอบสำรวจมาจากประเทศต่างๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียตนาม เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และประเทศไทย
ตามรายงานพบว่า ผู้ที่นำเอดจ์คอมพิวติ้งมาใช้เป็นรายแรกๆ ในเอเชียแปซิฟิก จะเห็นว่ามีค่าใช้จ่ายลดลงทั้งด้านไอทีและการดำเนินงานซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงการดำเนินงานทั่วธุรกิจได้ดีขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 เปอร์เซ็นต์ โดย 72 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบสำรวจที่ใช้เอดจ์คอมพิวติ้ง เห็นถึงประโยชน์ของการลดค่าใช้จ่ายด้านไอที ตามด้วยค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินการ (46 เปอร์เซ็นต์) และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า (34 เปอร์เซ็นต์) ในแง่ของอุตสาหกรรมที่มีอัตราการนำมาใช้งานสูงสุด คือภาคการศึกษาที่มาเป็นอันดับต้นโดย 68 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่ร่วมการสำรวจมีการนำเอดจ์มาใช้ ทั้งนี้ องค์ประกอบอย่างการระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลกและโมเดลการเรียนรู้แบบใหม่ทำให้การประสานความร่วมมือและการแบ่งปันทรัพยากรระหว่างสถาบันกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น