หลังจากที่คำสั่งล็อคดาวน์ (Lockdown) เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 หลายเดือนที่ผ่านมาทำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกหยุดชะงัก ถึงวันนี้หลายๆ เมืองและประเทศเริ่มเตรียมตัวกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ แม้ว่าจะยังไม่มีมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนก็ตาม แล้วเหตุการณ์นี้ส่งผลอะไรกับธุรกิจให้เช่าที่พักระยะสั้น? รายงานฉบับนี้จะพาคุณมาติดตามสถานการณ์ล่าสุดของตลาดให้เช่าที่พักทั่วโลกกัน

ในขณะที่บางพื้นที่เราจะเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวแบบ V-shape แต่บางพื้นที่ก็ยังห่างไกลกับการฟื้นคืนสู่สภาพเดิม เพราะปัจจัยการฟื้นตัวของแต่ละตลาดนั้นขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและกลไกที่ผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวแบบใหม่

โดยรวมแล้วยอดการจองที่พักทั่วโลกดีดตัวขึ้นมา 127% ภายใน 6 สัปดาห์ จากกราฟจะเห็นว่ายอดจองที่พักลงไปถึงจุดต่ำสุดในวันที่ 5 เมษายน และพบการดีดตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนตัวเลขเกือบจะเท่าช่วงก่อนเกิดโควิดตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม

นิวซีแลนด์ คือ ประเทศแรกๆ ที่มีการฟื้นตัว มียอดจองเพิ่มขึ้น 465% จาก 6 สัปดาห์ก่อนหน้า ตามมาด้วยเยอรมันที่ 367% สหรัฐอเมริกา 202% ฝรั่งเศส 200% และออสเตรเลีย 189%

เมื่อจำแนกข้อมูลออกไปตามพื้นที่จะพบว่าตลาดที่ฟื้นตัวเร็วที่สุดของโซนอเมริกาเหนือ คือพื้นที่โซนท่องเที่ยวแบบพักผ่อนหย่อนใจ ที่พักใกล้ทะเลของอลาบามา จอร์เจีย เท็กซัส และแคลิฟอร์เนีย คือสถานที่แรกๆ ที่จะได้รับผลดีจากนักท่องเที่ยว ยอดจองเฉลี่ยของเมืองเหล่านี้โตขึ้นมากกว่า 968% ขณะที่กลุ่มตลาดที่ฟื้นตัวช้าที่สุด คือ ย่านตัวเมือง เช่น บอสตัน ฟิลาเดลเฟีย ชิคาโก และนิวยอร์ก ด้วยยอดจองที่เติบโตเฉลี่ย 44%

ถัดมาที่ฝั่งยุโรป เมืองที่มียอดจองเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ เมืองนีซ และมาร์เซย ประเทศฝรั่งเศส เบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ลียง ประเทศฝรั่งเศส นาโปลี และมิลาน ประเทศอิตาลี ตามลำดับ

ในขณะที่เอเชีย จะพบว่าเมืองที่มียอดจองเติบโตมากที่สุดส่วนใหญ่จะเป็นเมืองในประเทศจีน ได้แก่ ฉางชา ปักกิ่ง ฉงชิ่ง เซี่ยงไฮ้ เป็นต้น

รายงานฉบับนี้ยังรวมข้อมูลของประเทศในเขตโอเชียเนีย ที่มีเปอร์เซ็นต์การฟื้นตัวสูงเช่นกัน ได้แก่ ควีนทาวน์ ประเทศนิวซีแลนด์, บลูเม้าท์เท่นส์ ประเทศออสเตรเลีย, เวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นต้น

ระยะทางของสถานที่ท่องเที่ยวมีผลต่อการฟื้นตัวหรือไม่?

ปัจจัยที่สำคัญอันดับต้นๆ ว่าเมืองไหนจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวของที่นั่นเดินทางมาจากที่ไหนกัน เป็นนักท่องเที่ยวจากเมืองที่อยู่ใกล้กันหรือบินไกลมาจากต่างประเทศ

เมื่อเทียบข้อมูลแล้วจะพบว่าเมืองที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะมีอัตราการฟื้นตัวน้อยกว่าเมืองที่พึ่งการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยมีอัตราการฟื้นตัวที่ 57% และ 92% ตามลำดับ และพบว่าสหรัฐอเมริกาพึ่งพาการท่องเที่ยวภายในประเทศมากกว่าแถบยุโรป ซึ่งก็สมเหตุสมผลเพราะอเมริกามีประเทศเพื่อนบ้านเพียง 2 ประเทศ และการข้ามประเทศไปมาหาสู่กันก็ไม่ได้ง่ายเหมือนกลุ่มประเทศในยุโรป

นอกเหนือไปจากประเภทของนักท่องเที่ยว การวิเคราะห์ระยะทางเฉลี่ยที่ใช้ในการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อเทียบข้อมูลนักท่องเที่ยวที่มาเยือนออสตินในปีนี้ พบว่ามีถึง 83% ที่เดินทางมาจากเมืองที่ใกล้ขึ้นกว่าปี 2019 หรืออย่างซีแอตเทิลที่จากเดิมมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไกลเฉลี่ย 1,500 ไมล์ กลายมาเป็นนักท่องเที่ยวที่ใช้การเดินทางเพียง 141 ไมล์เท่านั้น

คาดการณ์สถานการณ์จองที่พักนับจากนี้

จากกราฟจะเห็นว่ายอดจองของปีนี้และปีก่อนหน้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน จนกระทั่งช่วงต้นเดือนกันยายนเป็นต้นไปที่จะสังเกตเห็นว่า แม้ปัจจุบันเราอาจจะยังอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด แต่คนก็ยังวางแผนเที่ยวในวันหยุดเทศกาลช่วงปลายปีอยู่ดี

แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ชวนฝันร้ายเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2020 แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว แค่จะมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากยุคก่อนโควิดแน่ๆ เช่น เปลี่ยนการจองห้องพักล่วงหน้ากันเป็นเวลานานมาเป็นจองล่วงหน้าในระยะเวลาที่สั้นขึ้น อีกทั้งเรายังได้เห็นจุดแข็งของสถานที่ท่องเที่ยวแบบพักผ่อนหย่อนใจและสถานที่ที่เดินทางเข้าถึงได้ด้วยรถยนต์ส่วนตัว และไม่ว่าจะมีระเบียบข้อบังคับอะไรออกมาจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอีก เราต่างเห็นชัดกันแล้วว่าสิ่งที่ผู้คนจะให้ความสำคัญอันดับแรกๆ ก็คือความสะอาดและปลอดภัยในทุกๆ ที่ที่พวกเขาจะไปเยือน

แหล่งข้อมูล

https://www.airdna.co/blog/global-vacation-rental-bookings-skyrocket-by-127-after-surge-in-domestic-tourism