8 ปี สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ จาก “พลังแห่งการให้” สู่ศูนย์การแพทย์แห่งนวัตกรรม เพื่อการดูแลคนไทยอย่างทั่วถึง พร้อมขับเคลื่อนอัตลักษณ์รามาธิบดีสู่ระดับภูมิภาค
จากอดีตที่ประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ภาคตะวันออกต้องเดินทางไกลเข้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อเข้ารับการรักษา โดยต้องแลกกับเวลา ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงระหว่างรอคอยการดูแล ความท้าทายนี้จึงจุดประกายให้เกิดการก่อตั้ง “สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์” ในปี พ.ศ. 2560 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่เปรียบเสมือน ‘ที่พึ่งด้านสาธารณสุข’ ของประชาชนในภาคตะวันออก และยังเป็น “พื้นที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์รามาธิบดี” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้สามารถเข้าถึงระบบการแพทย์ชั้นนำได้อย่างทั่วถึง โดยมี “สายธารน้ำใจของผู้ให้” ผ่านมูลนิธิรามาธิบดีฯ เป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้วิสัยทัศน์แห่งการดูแลสุขภาพเพื่อปวงชน และอัตลักษณ์ของรามาธิบดีสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และการวิจัยในภูมิภาค
รศ. นพ.ชนเมธ เตชะแสนศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ กล่าวว่า “เดิมทีโรงพยาบาลรามาธิบดีบนถนนพระราม 6 เป็นศูนย์กลางการรักษาที่สำคัญของประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมาอย่างยาวนาน แต่ด้วยพื้นที่เพียง 40 ไร่ และข้อจำกัดด้านยุทธศาสตร์ ประกอบกับภาระโรคที่มีความซับซ้อนมากขึ้นและจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดเป็นความมุ่งมั่นในการพัฒนาและก่อสร้าง สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ โดยตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา สถาบันฯ ได้ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนในฐานะ ‘ที่พึ่งทางด้านสาธารณสุข’ อย่างแท้จริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่สถาบันฯ มีบทบาทสำคัญในฐานะด่านหน้าในการดูแลผู้ป่วยและสนับสนุนระบบสาธารณสุขของประเทศ”
“ปัจจุบัน สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 319 ไร่ รองรับผู้ป่วยนอกกว่า 341,000 ราย ผู้ป่วยฉุกเฉิน 16,462 ราย และผู้ป่วยใน 10,813 รายในปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘4E’ ได้แก่ Education, Environment, Energy Saving และ Excellence Living เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ควบคู่กับการเป็นพื้นที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์รามาธิบดี ที่เพรียบพร้อมไปด้วยองค์ความรู้ในการรับมือต่อโรคอุบัติใหม่ และจิตวิญญานแห่งการเป็นแพทย์เพื่อประชาชนสู่ระบบสาธารณสุขไทยในอนาคต โดยสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก ทั้ง JCI ในปี 2019 และ 2023 ครอบคลุมทั้งด้านการรักษาพยาบาลและการศึกษา รวมถึงมาตรฐาน HA ในปี 2021 และ HA Re-accreditation แบบ 4 ปี ในปี 2025 ซึ่งถือเป็นรายแรกของประเทศ ตอกย้ำคุณภาพและความมุ่งมั่นของสถาบันฯ ในการยกระดับระบบสุขภาพไทย พร้อมผลักดันอัตลักษณ์ของรามาธิบดีสู่การเป็นศูนย์การแพทย์และการวิจัยชั้นนำระดับภูมิภาค” เพื่อสะท้อนศักยภาพของสถาบันฯ แนวคิดดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดผ่าน 3 พื้นที่แห่งนวัตกรรมสำคัญ ได้แก่
อาคารกายวิภาคคลินิก: “อาจารย์ใหญ่” ผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ของแพทย์รุ่นใหม่และองค์ความรู้แห่งอนาคต
อ. ดร.เบญริตา จิตอารี อาจารย์พรีคลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี กล่าวว่า “ช่วงพรีคลินิกคือรากฐานสำคัญของการสร้างแพทย์ที่มีทั้งความรู้ ความเข้าใจ และทักษะเชิงปฏิบัติ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วยในอนาคต ‘อาคารกายวิภาคคลินิก’ จึงทำหน้าที่เป็นหัวใจของการเรียนรู้ โดยเฉพาะการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่และ ‘ร่างซอฟต์’ หรือ Soft Cadaver ที่ยังคงสภาพเนื้อเยื่อให้ยังคงนุ่ม และสามารถยืดหยุ่นได้ใกล้เคียงที่สุดกับสภาพจริง ซึ่งมีเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย และมีบทบาทสำคัญในการฝึกทักษะแพทย์เฉพาะทางหลากหลายสาขา รวมถึงหัตถการที่ต้องการความละเอียดสูง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมรากฐานการเรียนรู้ให้แข็งแรง แต่ยังต่อยอดสู่การวิจัยนวัตกรรมการรักษาในอนาคตอีกด้วย ปัจจุบัน สถาบันฯ ได้รับบริจาคร่างกายจากผู้มีจิตศรัทธาเฉลี่ยปีละประมาณ 150 ร่าง แบ่งเป็นร่างซอฟต์ราว 100 ร่าง และร่างสำหรับการเรียนกายวิภาคศาสตร์กว่า 50 ร่าง ซึ่งสถาบันฯ นำมาจัดสรรเพื่อใช้ในการเรียนการสอนและงานวิจัยได้อย่างครอบคลุมและเพียงพอ ทั้งนี้ สถาบันฯ ยังคงเปิดรับบริจาคร่างกายในปีต่อ ๆ ไป เพื่อร่วมต่อยอดองค์ความรู้ทางการแพทย์และพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์คุณภาพสู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านร่วมเป็น ‘ผู้ให้’ ผ่านการบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา”
อาคารกายวิภาคคลินิกยังโดดเด่นด้วย นวัตกรรมการเรียนรู้ครบวงจร ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น VR สำหรับศึกษากายวิภาคสามมิติ หรือ Anatomage Table เพื่อการสำรวจโครงสร้างร่างกายเชิงลึก และ ห้องผ่าตัดจำลอง (Hybrid OR) สำหรับฝึกหัตถการขั้นซับซ้อนเสมือนจริง รวมถึง ระบบ Live Teaching และ Remote Learning ที่ทำให้ผู้เรียนเข้าถึงองค์ความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ขณะเดียวกันยังเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ ผ่านความร่วมมือกับ ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) เปิดโอกาสให้แพทย์ วิศวกร และนักวิจัย ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยไทยอย่างแท้จริง อาคารแห่งนี้จึงไม่เพียงพัฒนาทักษะทางคลินิก แต่ยังบ่มเพาะ แพทย์รุ่นใหม่ที่เข้าใจทั้งร่างกาย เทคโนโลยี และหัวใจของการดูแลมนุษย์ พร้อมนำองค์ความรู้ไปยกระดับระบบสุขภาพไทยอย่างทั่วถึง
ศูนย์การเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เสมือนจริง รามาธิบดี: พื้นที่ติดอาวุธแพทย์รุ่นใหม่
อ. นพ.ณัฐดนัย มั่นเกษตรกิจ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายการศึกษา ศูนย์การเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เสมือนจริงรามาธิบดี (RASME) กล่าวว่า “ศูนย์การเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เสมือนจริงรามาธิบดี (RASME) ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับนานาชาติจาก Society for Simulation in Healthcare (SSH) คือหลักฐานของความมุ่งมั่นถึงคุณภาพในการผลิต ‘แพทย์ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การรู้ทฤษฎี แต่ต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์จริงได้’ ที่นี่จึงเปรียบเสมือน ‘สนามซ้อมก่อนลงสนามจริง’ ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนรู้ผ่านสถานการณ์การจำลองที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด และฝึกฝนกับทำงานร่วมกันแบบสหวิชาชีพ โดยนักศึกษาแพทย์จะได้ฝึกฝนกับหุ่นจำลองที่ตอบสนองเหมือนมนุษย์ ทั้งสัญญาณชีพและอาการทางคลินิก การฝึกฝนในสภาพแวดล้อมเสมือนจริงนี้จะช่วยพัฒนาแพทย์รุ่นใหม่ให้มีทักษะ วิสัยทัศน์ และความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ภายใต้ข้อจำกัดของระบบสาธารณสุขไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกล อันเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์รุ่นใหม่พร้อมรับมือทุกความเร่งด่วนของปัญหาสุขภาพ และผลักดันการแพทย์ไทยให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในอนาคต”
ศูนย์การเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เสมือนจริงรามาธิบดี (RASME) เป็นพื้นที่การเรียนรู้ยุคใหม่ที่รวมห้องปฏิบัติการทางคลินิกหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ห้องฉุกเฉิน ห้องตรวจผู้ป่วยนอก วอร์ดผู้ป่วยใน ไปจนถึงห้องปฏิบัติการขั้นสูงอย่างห้องผ่าตัดและห้องคลอด หนึ่งในความโดดเด่นคือหุ่นยนต์ขั้นสูงที่สามารถจำลองเหตุการณ์ได้ตั้งแต่เคสการทำคลอดปกติจนถึงภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะไหล่ติด ทารกคลอดท่าก้น หรือสถานการณ์ที่ต้องผ่าคลอด พร้อมสัญญาณชีพและการตอบสนองที่สมจริง ขณะเดียวกัน หุ่นจำลองประเภทอื่นยังรองรับการฝึกภาวะอุบัติเหตุ เลือดออก หรือหัวใจหยุดเต้น ทุกการฝึกอยู่ภายใต้ระบบควบคุมและสังเกตการณ์แบบเรียลไทม์ ช่วยให้อาจารย์วิเคราะห์และทบทวนเหตุการณ์ร่วมกับผู้เรียนได้อย่างละเอียด ส่งเสริมให้แพทย์รุ่นใหม่เข้าใจทั้งจุดแข็งและจุดที่ต้องพัฒนา ต่อยอดทักษะจากประสบการณ์เสมือนจริง และพร้อมรับมือความท้าทายของระบบสาธารณสุขไทยในทุกบริบท
















