หาก AI เข้าใจมนุษย์มากที่สุด แล้วอนาคตประเทศไทยจะไปทางไหน
บทสรุปแนวคิดที่ได้จากงาน The Standard Economic Forum 2025
สมมุติว่าคุณผู้อ่านคือมิ้น
มิ้นเป็นคนทำงานมืออาชีพคนหนึ่งที่ทำงานเพื่อเป้าหมายชีวิตของตัวเองและครอบครัว
ในยามเย็นของกรุงเทพฯ ที่ฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสีจากส้มเป็นน้ำเงิน มิ้นนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ ริมถนน ข้างหน้ามีโน้ตบุ๊กเปิดอยู่ หน้าจอแสดงหัวข้อว่า
“อนาคตประเทศไทย…เราจะไปทางไหน”
เธอกำลังเขียนเรียงความสำหรับคลาสปริญญาโทเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก แต่สิ่งที่อยู่ในใจกลับใหญ่กว่านั้นมาก มันคือคำถามที่เธอถามตัวเองมาตลอดว่า “ประเทศไทยของเราจะเป็นยังไงต่อไป และตัวเรานี่แหละจะเป็นยังไงต่อ…”
เสียงรถที่วิ่งผ่านถนนเจริญกรุงทำให้มิ้นเงยหน้าขึ้น เธอเห็นเด็กวัยมหาลัยเดินถือโทรศัพท์รุ่นใหม่ยี่ห้อหรู ใบหน้ามีทั้งความมั่นใจและความเหนื่อยล้าในเวลาเดียวกัน ภาพนั้นทำให้เธอนึกถึงตอนที่เคยฟังบรรยายเรื่องการเงินของคนรุ่นใหม่ วิทยากรพูดว่า “คนรุ่นเรารู้หมดทุกอย่างเรื่องเงิน แต่ไม่ค่อยลงมือทำจริง”
มิ้นก็เคยเป็นแบบนั้น เธอเคยเก็บเงินได้เดือนละนิดแต่ก็หมดไปกับการซื้อของตามเทรนด์ ทั้งที่รู้ดีว่าความมั่นคงไม่ใช่เสื้อผ้าใหม่หรือกาแฟแก้วแพง แต่เป็นความสบายใจในวันพรุ่งนี้
เธอเริ่มตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ว่าจะเข้าใจชีวิตตัวเองก่อนเข้าใจเงิน ตั้งแต่วันนั้น การออมสำหรับมิ้นจึงไม่ใช่เรื่องของจำนวน แต่เป็นเรื่องของ “ความตั้งใจ” และนั่นคือครั้งแรกที่เธอเริ่มมองเห็นความหมายของคำว่า “อนาคต”
มิ้นนั่งทำงาน วางโน้ตบุ๊กไว้ข้างแก้วกาแฟ เธอเปิดแอปธนาคารบนมือถือเพื่อโอนค่าเช่าห้อง ก่อนจะสะดุดกับข้อความใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“สักครู่นะคะ ธนาคารจะช่วยตรวจให้ว่าการโอนนี้ปลอดภัยไหม”
จังหวะนั้น เธอยิ้มโดยไม่รู้ตัว เพราะนี่ไม่ใช่แค่ระบบแจ้งเตือนธรรมดาอีกต่อไป มันคือ “Adaptive Banking” ที่ธนาคารสามารถเข้าใจความรู้สึก ของเธอจริง ๆ ระบบ AI ของธนาคารสามารถรับรู้ได้ว่าเธอกำลังลังเล และเสนอการตรวจสอบอัตโนมัติพร้อมเปลี่ยนโทนสีหน้าจอให้อ่อนลงเพื่อให้เธอสบายใจขึ้น มันทั้งอบอุ่นและปลอดภัยในเวลาเดียวกัน
ตั้งแต่นั้น มิ้นก็เริ่มมองการเงินต่างไปจากเดิม ไม่ใช่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องของ “ชีวิตที่ธนาคารเข้าใจ” เธอตัดสินใจเก็บเงินก้อนเล็ก ๆ เพื่อซื้อห้องคอนโดเป็นของตัวเอง และระบบยังช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายของเธอ คาดการณ์ว่าเธอน่าจะกำลังวางแผนซื้อบ้าน พร้อมเสนอวิธีเก็บเงินในกองทุนรวมความเสี่ยงต่ำเพราะอย่างน้อยก็ผลตอบแทนก็ยังดีกว่าแบบออมทรัพย์ เมื่อมิ้นเก็บเงินได้มากพอ ระบบจึงแนะนำสินเชื่อคอนโดมือสอง NPA ของธนาคารที่เหมาะสมกับรายได้และนิสัยการใช้เงินของเธออย่างนุ่มนวลราวกับเพื่อนสนิทที่รู้ใจ
อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพื่อนสนิทของมิ้นชวนเธอไปช่วยทำการตลาดให้แบรนด์ขนมในออนไลน์ มิ้นไม่ได้เป็นนักการตลาดมืออาชีพ แต่คราวนี้เธอมี “ใบเตย” ผู้ช่วย AI ด้าน CRM (Customer relationship management) ที่พูดจาเหมือนเพื่อนสาวคนหนึ่ง
“ลูกค้าคนนี้ซื้อบ่อยช่วงดึกนะ ลองส่งคูปองลดราคาก่อนนอนดูสิ!” AI ใบเตยพูดผ่านหน้าจอแชตพร้อมกราฟสรุปข้อมูลครบถ้วน
ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ใบเตยช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าทั้งหมด ออกแบบแคมเปญส่งเสริมการขาย และคำนวณคะแนนสะสมให้เรียบร้อย
แคมเปญที่เคยต้องใช้เวลาเตรียมสามวัน กลับสำเร็จในครึ่งบ่ายเดียว และยอดขายของเพื่อนก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
“บางที AI ก็เข้าใจลูกค้าดีกว่าเราอีกนะเนี่ย” มิ้นพูดติดตลก แต่ในใจลึก ๆ เธอกำลังเชื่อว่ามนุษย์กับเทคโนโลยีสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสมดุลจริง ๆ
ไม่นานหลังจากนั้น มิ้นได้รับอีเมลงานฟรีแลนซ์ให้ช่วยวางแผนคอนเทนต์ออนไลน์ แต่เธอชะงักตรงเอกสารสัญญาที่ยาวนับสิบหน้า เต็มไปด้วยภาษากฎหมายที่อ่านไม่เข้าใจ
เธอจึงลองเปิดแพลตฟอร์มกฎหมายอัจฉริยะใหม่ที่เพื่อนทนายแนะนำ
เพียงแค่คลิก “แปลให้เข้าใจง่าย” ระบบก็สรุปให้ในไม่กี่วินาทีว่า “สัญญานี้ไม่มีเงื่อนไขผูกพันเกินควร แต่มีข้อควรระวังเรื่องค่าปรับหากส่งงานล่าช้า”
มิ้นหัวเราะเบา ๆ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ถ้ากฎหมายไทยพูดแบบนี้ได้ตั้งแต่แรก ชีวิตเราคงง่ายขึ้นเยอะเลย”
ตอนเย็นที่ออฟฟิศ เพื่อนในทีมไอทีชวนคุยเรื่อง “คอมพิวเตอร์ควอนตัม” และภัยใหม่ที่องค์กรต้องเตรียมรับมือ
พวกเขาบอกว่าอีกไม่เกินสิบปี ระบบเข้ารหัสแบบเดิมอาจถูกถอดได้หมดในไม่กี่วินาที
“เราต้องเริ่มใช้ระบบ Quantum Safe ก่อนจะสายเกินไป” เพื่อนพูดพลางยิ้ม
มิ้นเริ่มเข้าใจว่า โลกในอนาคตไม่ได้มีแค่โอกาส แต่ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ต้องเรียนรู้จะป้องกัน
และในยุคที่ข้อมูลคือชีวิต การรักษาความปลอดภัยทางดิจิทัลก็คือการรักษาความเป็นมนุษย์เช่นกัน
ไม่กี่วันถัดมา ข่าวลือบนโซเชียลเกี่ยวกับแบรนด์ของบริษัทที่เป็นนายจ้างของเธอเริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แต่ระบบเฝ้าระวังชื่อเสียงของบริษัทตรวจจับกระแสได้ก่อนจะลุกลาม
AI ของ ARIS รายงานแบบเรียลไทม์ พร้อมวิเคราะห์อารมณ์ของโพสต์ว่าเป็น “เชิงประชดแต่ไม่เป็นอันตราย” ทีม PR จึงออกคำชี้แจงได้ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
วิกฤตที่อาจลุกลามกลายเป็นเพียงรอยคลื่นเล็ก ๆ
มิ้นรู้สึกประทับใจกับ “AI ที่ไม่เคยหลับ” ผู้เฝ้ามองชื่อเสียงองค์กรตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อปกป้องสิ่งที่มนุษย์สร้างด้วยความตั้งใจ
เมื่อถึงปลายเดือน ความเครียดเริ่มก่อตัวจากงานและชีวิตที่หมุนเร็วเกินไป มิ้นเปิดแอปพูดคุยปรึกษา session กับนักจิตวิทยาผู้ช่วยดูแลสุขภาพใจ
เสียงที่ตอบกลับมานุ่มนวลและเธอจำได้ “คุณมิ้นรู้ไหม การหยุดพักไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นการให้เวลาหัวใจหายใจบ้าง”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับนักจิตวิทยาว่า “ขอบคุณนะคะที่ฟังโดยไม่ตัดสิน”
น้ำตาเธอเอ่อขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเศร้า แต่เพราะรู้สึกว่ามีใครบางคนที่เข้าใจเธอ
ในสุดสัปดาห์นั้น มิ้นอยากผ่อนคลายจึงไปเดินเล่นที่ย่านสถานบันเทิงใจกลางเมือง
รอบตัวเธอเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน ศิลปินหลากหลายเพศร้องเพลงกลางเวทีอย่างมั่นใจ
ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นท้องถิ่นตั้งเรียงราย มีป้ายเขียนไว้ว่า “Love is for Everyone”
เธอรู้สึกอบอุ่นแปลก ๆ เหมือนเห็นอนาคตของประเทศไทย ประเทศที่เทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น กฎหมายพูดภาษาเดียวกับประชาชน ระบบเศรษฐกิจเปิดรับความหลากหลาย และผู้คนเริ่มฟังกันด้วยหัวใจ
มิ้นยืนมองผู้คนรอบตัวที่ต่างยิ้มให้กันโดยไม่สนว่าคนตรงหน้าเป็นเพศไหน ชาติไหน หรือฐานะอะไร
ในหัวของเธอมีเสียงหนึ่งพูดขึ้นเบา ๆ
“นี่แหละ ประเทศไทยในอนาคต… ไม่ได้สมบูรณ์แบบที่สุด แต่เป็นประเทศที่เข้าใจมนุษย์มากที่สุด”
















