The Last Home of the World พ่อเฒ่าแม่แก่ฝรั่งขายบ้านมาเกษียณสำราญในไทย : โอกาสใหม่และความท้าทายของเศรษฐกิจไทย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้ยินข่าวอยู่เสมอว่า ผู้สูงอายุชาวอเมริกันและยุโรปจำนวนหนึ่งตัดสินใจขายบ้านที่ประเทศบ้านเกิด แล้วหอบเงินก้อนย้ายมาใช้ชีวิตบั้นปลายในประเทศไทย
ยกตัวอย่างชีวิตจริงของทั้ง 3 เคสนี้
เคสคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันคู่หนึ่งขายทรัพย์สินจำนวนมากและย้ายไปอยู่ชุมชนที่เงียบสงบกว่าในปราณบุรี ประเทศไทย ค่าครองชีพรายเดือนของพวกเขาลดลงจากประมาณ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐในสหรัฐอเมริกาหรือประมาณ 127,000 บาทไทย เหลือประมาณ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐในประเทศไทยหรือประมาณ 50,000 บาทไทยเท่านั้น
เคสผู้เกษียณอายุชาวออสเตรเลียที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ด้วยเงินบำนาญรายปี (ประมาณ 18,000 ดอลลาร์สหรัฐ) สามารถเก็บออมรายได้ส่วนใหญ่ไว้ได้ เนื่องจากค่าที่อยู่อาศัย ค่าอาหาร และอื่นๆ ถูกกว่ามาก
เคสอดีตตำรวจฟลอริดาคนหนึ่ง ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเชียงใหม่ เขาและภรรยากล่าวว่าค่าครองชีพของพวกเขาลดลงเหลือประมาณหนึ่งในสามของค่าครองชีพในสหรัฐอเมริกา หลังจากรวมค่าประกันสุขภาพและค่าใช้จ่ายพื้นฐานอื่นๆ
สาเหตุสำคัญที่ผู้สูงอายุวัยเกษียณเหล่านี้ย้ายมาพำนักที่ไทยก็ไม่ได้ซับซ้อนนัก เพราะค่าครองชีพในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตกนั้นสูงขึ้นทุกปี ค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล และค่าดูแลระยะยาวเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเงินบำนาญหรือเงินเก็บที่เคยคิดว่าเพียงพอกลับไม่เพียงพออีกต่อไป
ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยกลับมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตถูกกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในโลกตะวันตก จากข้อมูลของ Numbeo ในปี 2024 พบว่าค่าครองชีพในกรุงเทพฯ เฉลี่ยถูกกว่านิวยอร์กถึงเกือบ 50% โดยเฉพาะด้านอาหารและบริการด้านสุขภาพที่มีมาตรฐานสากลแต่ราคาย่อมเยากว่าหลายเท่า นอกจากนี้ยังมีสภาพภูมิอากาศอบอุ่น อาหารหลากหลาย วัฒนธรรมอ่อนโยน และบริการการแพทย์ที่มีชื่อเสียง จึงไม่น่าแปลกใจที่ไทยติดอันดับต้นๆ ของจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการเกษียณอายุของชาวต่างชาติ
จากรายงานของ International Living ในปี 2023 ประเทศไทยติดอันดับ 9 ของโลกในดัชนีจุดหมายปลายทางเกษียณ (Global Retirement Index) โดยเน้นว่ามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของคู่สามีภรรยาสามารถอยู่ได้อย่างสะดวกสบายเพียงเดือนละราว 1,500–2,000 ดอลลาร์สหรัฐ (48,000-64,000 บาท) ซึ่งต่ำกว่าค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่ต้องใช้ในเมืองใหญ่ของอเมริกาถึง 2 – 3 เท่า ความต่างนี้เองคือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุจากซีกโลกตะวันตกมองหาบ้านใหม่ที่ไทย
แต่เมื่อมองลึกลงไป ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้มีแค่ด้านดีอย่างเดียว หากเราพิจารณาแนวโน้มการสูงวัยของประชากรโลก สหประชาชาติคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 จะมีผู้สูงอายุเกิน 60 ปีมากกว่า 2,000 ล้านคนทั่วโลก และในสหรัฐอเมริกาเอง U.S. Census Bureau ประเมินว่าในปี 2030 จะมีผู้สูงอายุเกิน 65 ปีมากกว่า 70 ล้านคน ปัญหาการเงินไม่พอเลี้ยงตัวจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และการมองหาประเทศใหม่ที่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพโดยไม่ต้องแบกค่าใช้จ่ายมหาศาลจึงจะกลายเป็นเทรนด์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง