เมื่อคอนโดติดรถไฟฟ้า เริ่มไม่ตอบโจทย์? แล้วอะไรจะมาแทน…คำตอบคือ Mixed-use
ในอดีตหากพูดถึงอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ภาพที่หลายคนคุ้นตาคือการเติบโตของโครงการแนวสูงที่ผุดขึ้นเรียงรายตามแนวเส้นทาง BTS และ MRT ราวกับเป็นแม่เหล็กดึงดูดเงินลงทุนจากทั้งนักพัฒนา ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย และนักลงทุนรายย่อย แต่ในวันนี้ เมื่อมองไปรอบตัวกลับพบว่า “โครงการใหม่” ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าโดยเฉพาะโซน inner Bangkok เริ่มน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด คำถามคือเกิดอะไรขึ้น? และเพราะเหตุใดทิศทางในอนาคตจึงเริ่มเปลี่ยนไปสู่รูปแบบ “Mixed-use” ที่ผสมระหว่างที่พักอาศัยระยะยาวและโรงแรม
คำตอบเริ่มต้นที่ต้นทุนของโครงการ “ที่ดิน” ในเมืองชั้นในของกรุงเทพฯ ที่กลายเป็นของหายากและราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในย่านเศรษฐกิจสำคัญอย่างสุขุมวิท สาทร พญาไท หรือพระราม 9 ราคาที่ดินต่อตารางวาไม่เพียงสูงขึ้นในเชิงมูลค่า แต่ที่สำคัญคือ เจ้าของที่ดินจำนวนไม่น้อยเริ่มมีแนวโน้ม “หวง” และไม่ต้องการปล่อยขายง่าย ๆ เพราะรับรู้ถึงความหายากและมูลค่าในระยะยาวของทำเลเหล่านี้ ที่ดินใกล้รถไฟฟ้าจึงไม่ใช่แค่ที่ดิน แต่คือ “ทรัพย์สินสร้างผลตอบแทนระยะยาว” ที่อาจให้ผลตอบแทนดีกว่าการขายเปลี่ยนมือครั้งเดียวแบบในอดีต
นอกจากนี้ สูตรพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในรูปแบบ “ขายขาด” แบบที่เคยใช้กันมายาวนาน เริ่มกลายเป็นสูตรที่ “ไม่เหมาะสม” สำหรับผู้พัฒนาโครงการในยุคนี้ เพราะราคาที่ดินที่สูงมากทำให้ราคาขายต่อยูนิตสูงตามไปด้วย (แต่รายได้ผู้ซื้ออาจไม่ได้สูงขึ้นตามไปด้วย เท่ากับว่าสร้างไปก็ขายออกยาก) และการขายขาดแม้จะได้เงินก้อนในช่วงต้น แต่กลับไม่มีรายได้ระยะยาวรองรับ มีผลต่อความยั่งยืนในสถานะการเงิน ขณะที่ต้นทุนการก่อสร้าง การตลาด การถือครองที่ดิน และความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจผันผวน ทำให้โครงการแบบขายหมดในคราวเดียวอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดอีกต่อไป
เหล่า developer จึงต้องหาทางออก product ที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง คือมีทั้งเงินก้อนเข้าบริษัทไวๆ และยังมีรายได้ระยะยาวควบคู่กันไปด้วย โจทย์ทางธุรกิจจึงเปลี่ยนไปสู่การออกแบบโครงการที่ “หลากหลายฟังก์ชัน” ไม่ว่าจะเป็นคอนโด + โรงแรม, คอนโด + เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ หรือแม้แต่โครงการที่รวมทั้งสำนักงาน Co-working Space, ร้านค้า และโรงแรมระดับบนไว้ในที่เดียว การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกใหม่ แต่กำลังกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ในมหานครอย่างกรุงเทพฯ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัจจัยเชิงสังคมที่ส่งเสริมแนวโน้มนี้อย่างชัดเจน ผู้บริโภคยุคใหม่เริ่มมองหาที่อยู่อาศัยที่มอบประสบการณ์ “มากกว่าคอนโด” พวกเขาไม่ได้มองเพียงแค่พื้นที่ห้องพักส่วนตัว แต่ต้องการใช้ชีวิตในพื้นที่ที่มีครบทุกองค์ประกอบ ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ Rooftop Bar ฟิตเนสระดับโรงแรม หรือแม้แต่สระว่ายน้ำที่มีบรรยากาศเสมือนรีสอร์ต การอยู่ร่วมกันกับโรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอย่างที่เคย แต่กลับเป็นจุดขายที่เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิต