Wasl Tower แลนด์มาร์คแห่งใหม่ในดูไบ
ภาพจาก: designboom
A Sculptural Skyscraper nears Completion in dubai
ตึก Wasl Tower ของ UNStudio กำลังจะกลายมาเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คใหม่ของดูไบ ซึ่งกำลังใกล้จะสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ตัวตึกสูงเสียดฟ้าแห่งนี้มีความสูง 302 เมตร โดยได้รับการออกแบบโครงสร้างโดย Werner Sobek และได้แรงบันดาลใจจากท่าทาง ‘contrapposto’ หรือศิลปะคลาสสิกซึ่งเป็นรูปร่างที่บิดโค้ง สื่อถึงการก้าวเดิน
โดยโครงการนี้ตั้งอยู่บนถนน Sheikh Zayed Road ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางแยกสำคัญในเมืองดูไบ โดยเชื่อมระหว่างตึก Burj Khalifa ที่มีชื่อเสียงระดับโลกกับโครงการ City Walk ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ การวางตำแหน่งที่โดดเด่นบนถนน Sheikh Zayed ช่วยให้มองเห็นตัวตึกได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตั้งอยู่ตรงข้ามกับตึก Burj Khalifa
นอกจากนั้นตัวตึกยังมีสะพานคนเดินที่เชื่อมต่ออาคารนี้กับสถานีรถไฟใต้ดิน Burj Khalifa ทำให้เข้าถึงได้สะดวกยิ่งขึ้น และทำให้ตัวอาคารมีบทบาทในฐานะจุดเชื่อมต่อด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
ภาพจาก: Nils Koenning
The high-performance facade of ceramic fins
ตัวตึก Wasl Tower ใช้ผิวหน้าอาคารที่เป็นเซรามิก ที่มีความสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งทำให้การออกแบบหน้าอาคารแตกต่างไปจากเดิม โดยทางสถาปนิกจาก UNStudio และวิศวกรจาก Werner Sobek ได้ใช้วัสดุผิวอาคารที่เป็นครีบเซรามิก แบบลายตาข่ายซึ่งผลิตมาจากดินเหนียวเคลือบ พื้นผิวของวัสดุนี้ช่วยลดความร้อนและเพิ่มแสงธรรมชาติภายในอาคาร เนื่องจากครีบแต่ละอันมีมุมที่ 12.8 องศา โดยองศานี้กำหนดขึ้นจากการสร้างแบบจำลองพารามิเตอร์ เพื่อให้ได้การบังแสงและการกระจายแสงอย่างเหมาะสมที่สุด ดังนั้นผิวด้านนอกนี้จึงเป็นระบบระบายความร้อนแบบ Passive ที่ตอบสนองต่อสภาพอากาศในทะเลทราย และทำให้ตัวตึกมีเอกลักษณ์ดูล้ำสมัย
Wasl Tower มีรูปร่างภายนอกอาคารที่เป็นตะเข็บแนวตั้งซึ่งทำหน้าที่เป็น ทางสัญจรทางตั้ง ซึ่งเป็นทางเดินที่ทอดยาวจากระเบียงกลางแจ้งและลานสีเขียวที่ทอดยาวขึ้นไปตามโครงอาคาร แนวตะเข็บนี้สูงขึ้นไปถึงสระว่ายน้ำบนดาดฟ้า นอกจากนี้ แนวตะเข็บนี้ยังถือเป็นแกนสำคัญสำหรับการพบปะกันภายในอาคาร โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายสำหรับรับประทานอาหาร และความบันเทิง
ภาพจาก: designboom
unstudio’s classical inspiration
ตัวตึกได้รับแรงบันดาลใจจากประติมากรรมคลาสสิก โดยหมุนตามแกนตั้งในท่า ‘contrappost โดยรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อนของอาคารนี้ได้รับการรองรับด้วยผนังรับแรงเฉือนขนาดใหญ่ 300 เมตร 3 จุด ซึ่งเชื่อมถึงกันด้วยเสาค้ำยัน 4 ต้น ระบบโครงสร้างนี้ทำให้พื้นอาคารเปิดโล่งและปรับเปลี่ยนได้ ตอบสนองความต้องการของโปรแกรมการใช้งานแบบผสมผสาน ได้แก่ พื้นที่สำนักงาน อพาร์ตเมนต์ และโรงแรม
นอกจากนี้ระบบไฟส่องสว่างได้รับการออกแบบโดย Arup ซึ่งเป็นระบบไฟที่ซ่อนอยู่หลังครีบเซรามิก โดยระบบจะส่งแสงเป็นจังหวะที่เลียนแบบจังหวะชีวิตในเมือง ในระหว่างวัน ระบบเซรามิกเดียวกันนี้จะช่วยลดการรับแสงแดด ในส่วนเวลากลางคืน ตึกแห่งนี้จะเรืองแสงโดยใช้พลังงานบางส่วนมาจากแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งอยู่ในอาคารจอดรถที่อยู่ติดกันด้วย
ภาพจาก: designboom
สำหรับการสัญจรภายในอาคารที่มีความซับซ้อนแห่งนี้ ทาง UNStudio และ Werner Sobek ได้ออกแบบทางสัญจทางตั้งโดยจะประกอบไปด้วยลิฟต์ทั้งหมด 17 ตัว ซึ่งรวมถึงลิฟต์สำหรับ services อีก 5 ตัว รองรับการใช้งานที่แตกต่างกันภายในอาคาร
โดยตัวตึก Wasl Tower ใกล้จะสร้างเสร็จในช่วงปลายปีนี้ และกำลังจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งใหม่ของดู ที่เป็นตึกแห่งอนาคตสำหรับการออกแบบตึกระฟ้าในแถบทะเลทราย