แสนสิริ เดินหน้ารุกธุรกิจพรีคาสท์ ขยายพอร์ตรับงานเพิ่ม เสริมแกร่งผู้ประกอบการ ตอบโจทย์คุ้มค่า-ส่งมอบทันเวลา
– แสนสิริ ประกาศความพร้อม เดินเครื่องโรงงานพรีคาสท์เต็มกำลัง พร้อมกำลังการผลิตกว่า 1.7 ล้านตารางเมตร/ปี สนับสนุนการเติบโตภาคอสังหาฯ เต็มสูบ
– เสริมแกร่งกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านและดีเวลลอปเปอร์เข้าถึงพรีคาสท์คุณภาพ ควบคุมต้นทุน ลดเวลาการก่อสร้าง ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
– ชูเทคโนโลยีชั้นสูงมาตรฐานระดับโลก และเครื่องจักรคุณภาพจากบริษัทชั้นนำและเบอร์หนึ่งของอุตสาหกรรม
– ตอกย้ำความสำเร็จกรีนโปรดักต์ เดินหน้าพัฒนาพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ครั้งแรก! บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประกาศแผนธุรกิจพรีคาสท์ (โรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป) เดินหน้าขยายพอร์ตพร้อมให้บริการกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกลุ่ม Construction Business ที่มีโอกาสเติบโตสูงจากการขยายการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของประเทศ และเป็นเซ็กเตอร์หลักของเศรษฐกิจ หลังประสบความสำเร็จตามแผนงานการขยายกำลังการผลิตพร้อมนำเข้าเครื่องจักรมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท เมื่อปลายปีก่อน (2567) ตั้งเป้าการผลิตกว่า 1.7 ล้านตารางเมตร/ปี หรือสนับสนุนการก่อสร้างที่อยู่อาศัยราว 5,000 ยูนิต และคาดว่าเป็นโรงงานพรีคาสท์ที่ใหญ่ที่สุดของวงการอสังหาฯ ก่อสร้างขึ้นภายใต้ความรับผิดชอบและความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นายฐิติพงค์ มงคลปทุมรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทได้พัฒนาระบบพรีคาสท์มาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี จนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน โรงงานพรีคาสท์แสนสิริรวม 6 โรงงาน มีพื้นที่กว่า 200 ไร่ ตั้งอยู่ที่ จ.ปทุมธานี ใช้เทคโนโลยี Semi Automated Carousel System ควบคุมการผลิตด้วยระบบคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์ทุกขั้นตอน และที่สำคัญเรายังใช้นวัตกรรมปูนซีเมนต์รักษ์โลก (กรีนซีเมนต์) ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 5-10 % (ต่อซีเมนต์ 1 ตัน) ซึ่งหลังจากการปรับใช้กรีนซีเมนต์ บริษัทสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 122,843 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี รวมถึงอยู่ในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์กรีนซีเมนต์ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้นร่วมกับคู่ค้า และยังคงคุณภาพด้านความแข็งแรงคงทน ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ยังได้ยกระดับมาตรฐานการผลิตและควบคุมคุณภาพการทำงานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการนำเข้าเครื่องจักรคุณภาพและเทคโนโลยีชั้นสูงมาตรฐานระดับโลก จากบริษัทชั้นนำและเบอร์หนึ่งของอุตสาหกรรมในประเทศอิตาลี ได้แก่ WiTech Concrete Technology ผู้นำด้านเครื่องจักรผลิตแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปแบบมีรูกลวง และผลิตภัณฑ์คอนกรีตอื่น ๆ มากกว่า 50 ปี และ IMER ผู้นำด้านเครื่องจักรผสมและลำเลียงคอนกรีตขนาดใหญ่มากกว่า 60 ปี โดดเด่นด้านความแม่นยำในการกำหนดชิ้นงาน ลดระยะเวลาการก่อสร้าง ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของแรงงาน รวมทั้งมีความคล่องตัวสูงและสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต รองรับทุกการดีไซน์”