“เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย” จับมือผู้นำค้าปลีก “บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” พัฒนาศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของบิ๊กซี พื้นที่ 89,000 ตร.ม. บนทำเลบางปะอิน
กลุ่มอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสร้างศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ใน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยพื้นที่ 89,000 ตร.ม. กับการออกแบบอาคาร Built-to-Suit ที่รองรับการบริหารจัดการสินค้าเต็มศักยภาพทั้งขาเข้าและขาออก พร้อมพื้นที่-ระบบจัดเก็บสินค้าหลายรูปแบบได้รวมกว่า 90,000 พาเลต หนุนการจัดส่งสินค้าสู่สาขาของบิ๊กซีและร้านเพรียวฟาร์มาซีทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ให้ความสำคัญกับแนวทางด้านความยั่งยืนผ่านการใช้เทคโนโลยีสีเขียว เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญบริษัทฯ ที่ดำเนินงานโดยยึดหลักความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) พัฒนาศูนย์กระจายสินค้า บิ๊กซี บางปะอิน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บนที่ดิน 108 ไร่ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 89,000 ตร.ม. โดยเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ด้วยทำเลยุทธศาสตร์การขนส่งที่มีถนนสายหลักหลายสายสำหรับกระจายสินค้าไปทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2568
ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ของบิ๊กซีเป็นอาคารแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) โดยผังอาคารออกแบบเพื่อรองรับการบริหารจัดการสินค้าจำนวนมากทั้งขาเข้าและขาออก (Flow through) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยความสูงในการจัดเก็บถึง 14 เมตร พื้นรองรับน้ำหนัก 3.5 ตันและ 6 ตันต่อตร.ม. มีพื้นที่จัดเก็บสินค้าแบบอุณหภูมิปกติ และแบบควบคุมอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาคุณภาพของสินค้า อาทิ สินค้าเวชภัณฑ์ อาหารเสริม เวชสำอาง และสินค้าสุขภาพ เป็นต้น โดยสามารถจัดเก็บสินค้าได้มากกว่า 90,000 พาเลต และจัดส่งสินค้าได้กว่า 400,000 กล่องต่อวัน
นอกจากนี้ ศูนย์กระจายสินค้า บิ๊กซี บางปะอินยังมีความโดดเด่นด้วยการพัฒนาอาคารตามแนวทางด้านความยั่งยืนผ่านการใช้เทคโนโลยีสีเขียวที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ทั้งการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 998 กิโลวัตต์ และระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ ซึ่ง
จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,920 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 37,700 ต้น อีกทั้งได้เตรียมระบบรองรับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สอดรับกับการให้ความสำคัญกับ Green Logistics พร้อมด้วยการติดตั้งสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ และมีระบบการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะสามารถลดการใช้น้ำในอาคารได้ 50% และลดขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ถึง 87% เมื่อเปรียบเทียบกับอาคารทั่วไปตามกฎหมาย โดยตั้งเป้าขอรับรองมาตรฐานอาคารเขียว LEED อีกด้วย