Agility Research & Strategy ได้เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับความหรูหราของปี 2021 พาเราไปส่องว่าเหล่าเศรษฐีมีแพลนที่จะใช้จ่ายอย่างไรในปีที่จะถึงนี้ รูปภาพ: Chanel’s Weibo

– ในประเทศจีน ร้อยละ 63 เปอร์เซ็นของเศรษฐีมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตทางการเงินของพวกเขา เพราะพวกเขาคาดหวังว่ารายได้ที่พวกเขาได้ใช้จ่ายไปแล้วจะเพิ่มพูนขึ้น

– The Agility Research & Strategy Global Millionaire Luxury Report สำหรับปี 2021พบว่า “นิยามความหรูหราที่ซับซ้อนและหลากหลายนั้นมีมากขึ้นในหมู่เศรษฐีชาวจีน”

– เกือบ 88 เปอร์เซ็นของเศรษฐีชาวจีนให้ความสำคับกับแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบทางจริยธรรม

บริษัทที่ปรึกษาทางด้านความหรูหรา Agility Research & Strategy ได้ปล่อยรายงาน Agility Global Millionaire Luxury Report สำหรับปี 2021 อ้างอิงจากข่าวที่ออกมา ทางบริษัทได้มีการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น โดยการสัมภาษณ์เหล่าเศรษฐีมากกว่า 1 000 รายระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนปี 2021 รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงรายได้และการใช้จ่ายไปกับสินค้าหรูหราของผู้ที่มีรายได้สูงทั่วโลก

ผู้ที่มีรายได้สูงในอินเดีย จีน และสหรัฐอเมริกา ถูกพบว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเศรษฐีมีมีการมองโลกในแง่ดีมากที่สุด จีนและอเมริกาเป็นประเทศที่มีการจัดการกับโรคระบาดได้รวดเร็วกว่าหลายๆประเทศทั่วโลก ดังนั้น เศรษฐกิจของพวกเขาจึงมีการฟื้นตัวได้อย่างน่าทึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่าผู้บริโภคจะมีความเชื่อมั่นที่เป็นบวกกับประเทศเหล่านี้

ในประเทศจีน ร้อยละ 63 เปอร์เซ็นของเศรษฐีมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตทางการเงินของพวกเขา เพราะพวกเขาคาดหวังว่ารายได้ที่พวกเขาได้ใช้จ่ายไปแล้วจะเพิ่มพูนขึ้น ในขณะที่ 29 เปอร์เซ็นเชื่อว่าสถานการณ์ทางการเงินของพวกเขาจะยังคงเหมือนเดิม และอีก 8 เปอร์เซ็นเชื่อว่ารายได้ของพวกเขาจะลดลง ในอเมริกา 64 เปอร์เซ็นพวกผู้ที่ตอบแบบสอบถามยังมีทัศนคติในเชิงบวก ในขณะที่ 27 เปอร์เซ็นยังมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินของพวกเขา และ 9 เปอร์เซ็นมีความรู้สึกในเชิงลบเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขา

Amrita Banta กรรมการผู้จัดการของ Agility Research เชื่อว่าแนวโน้มในเชิงบวกจะมีผลต่อการบริโภคสินค้าหรูหราอย่างแน่นอน “ตรงข้ามกับสิ่งที่คิด เหล่าเศรษฐีผู้มั่งคั่งได้มีการใช้จ่ายไปกับสินค้าและได้รับประสบการณ์หรูหราในตลาด และรวมถึงการซื้อของขวัญหรูหราให้กับคนอื่นเช่นเดียวกับการซื้อของเหล่านี้เพื่อตัวเอง” เธอบอกกับ Jing Daily “ Chanel, Dior และ Cartier คือท๊อป 3 ของแบรนด์ดังสำหรับการซื้อของขวัญในการศึกษานี้”

Cartier โปรโมทสินค้าราคาแพง อย่างสร้อยคอไพลินสีชมพูและกระเป๋า Double D de Cartier ในช่วงก่อนเทศกาล Qixi ของจีน รูปภาพ: Cartier’s Weibo

ในความเป็นจริง 35 เปอร์เซ็นของกลุ่ม HNWI ชาวจีนและ 26 เปอร์เซ็น ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความตั้งใจที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในช่วงหกเดือนข้างหน้า สมาร์ทโฟนและเครื่องประดับแฟชั่นก็ยังจะได้รับผลกำไรจากแนวโน้มในเชิงบวกนี้เช่นเดียวกับ 34 เปอร์เซ็นของกลุ่ม HNWI ชาวจีนที่วางแผนที่จะใช้จ่ายกับสินค้าหมวดหมู่ที่ไม่ค่อยมีความจำเป็นเหล่านี้ แต่ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือความสนใจต่อความหรูหราแบบวินเทจ โดยที่ 41 เปอร์เซ็นของผู้ที่ตอบแบบสอบถามชาวจีนมีการแสดงความสนใจที่จะซื้อสินค้าหรูหราแบบวินเทจในอนาคต

ในรายงานดังกล่าวยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่ามีการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์และเป้าหมายของชีวิตของเหล่าเศรษฐีหลังจากมีการเกิดโรคระบาดขึ้น และมีการเกิดความหรูหราในรูปแบบใหม่ๆขึ้นมา ในขณะที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงมีการคลุกคลีกับความหรูหราที่มีคุณภาพและความพิเศษเฉพาะตัวสูง กลุ่มเศรษฐีรุ่นวัยกลางคนเชื่อว่าสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีคือความหรูหราในรูปแบบใหม่ แต่จากการศึกษาก็พบว่า “นิยามความหรูหราที่ซับซ้อนและหลากหลายนั้นมีมากขึ้นในหมู่เศรษฐีชาวจีน”

“ความหรูหราในประเทศจีนยังคงมีการวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และจากการสัมภาษณ์เหล่าผู้มั่งคั่งของเรา เราพบว่ามันมีความแปลกใหม่เกิดขึ้น” Banta อธิบาย “มันยังสื่อความหมายถึงอิสระภาพ ความเพลิดเพลิน และสุขภาพ ซึ่งเป้นแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นสำหรับความหรูหรา”

ผู้บริโภคที่มีความมั่งคั่งชาวจีนบางส่วนยังคงเชื่อมโยงความหรูหราเข้ากับสถานะ ในขณะที่รายอื่นๆเชื่อมั่นในมุมมองแบบดั้งเดิมของความหรูหราที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับราคาและคุณภาพที่สูงขึ้น การศึกษายังคงแสดงให้เห็นถึงคำกำจัดความที่ทันสมัยของความหรูหราที่กำลังพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน หนึ่งในกลุ่มมิลเลนเนียนชาวปักกิ่งในวัย 30 ของเขากล่าวกับ Agility ว่า: “ ความหรูหราคือการมีตัวเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น” การวิจัยยังค้นพบอีกด้วยว่าเกือบ 88 เปอร์เซ็นของเศรษฐีชาวจีนให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบทางจริยธรรม

การศึกษายังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากในการเดินทางในช่วงหลังจากการเกิดโรคระบาด ในขณะที่ความนิยมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศยังคงสูงอยู่ในสหราชอาณาจักรและอินเดีย ผู้มีรายได้สูงในจีน อเมริกา และญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะเดินทางภายในประเทศใน 12 เดือนข้างหน้ามากกว่า ส่วนกลุ่มเศรษฐีจีนที่ชอบการผจญภัย ที่ละเลยข้อจำกัดต่างๆในการเดินทางระหว่างประเทศและยังคงบินไปต่างประเทศนั้น จุดมุ่งหมายที่ยังเป็นที่โปรดปราญของพวกเขายังคงเป็นญี่ปุ่น ฝรั่งเศสและอิตาลี่

ก่อนที่จะเกิดโรคระบาดขึ้น ตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางไปยังยุโรปมีการเพิ่มขึ้นในทุกๆปี ในปี 2019 ยุโรปตอนกลางและฝั่งตะวันออกคือภูมิภาคที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางไปเยือนมากที่สุด ตามรายงานที่เผยแพร่โดนแผนกวิจัยของ Statista ภายในปีนั้น ยุโรปตอนกลางและฝรั่งตะวันออกมีการทำสถิติการเดินทางประมาณ 6.3 ล้านครั้งจากจีน และยุโรปฝั่งตะวันตกมีการบันทึกการเดินทางขาออกได้ประมาณ 5.9 ล้านครั้ง

สำหรับยุโรปตอนกลางและฝั่งตะวันออกที่มีความขาดแคลนเงินทุน การกลับมาของนักเดินทางชาวจีนที่มีความมั่งคั่งอาจจะหมายถึงความอยู่รอดสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคของพวกเขา เหมือนดังเช่นอุตสาหกรรมความหรูหราอื่นๆ การพึ่งพาประเทศจีนในการกู้สถานการณ์คืนมาจะมีเพิ่มมากขึ้นแน่นอน

ที่มา: https://jingdaily.com/global-millionaires-spend-2021-report/